A.I. กับงานศิลปะ ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้

หากได้ติดตามข่าวแวดวงไอทีในช่วงนี้  จะเห็นได้ว่าเรื่อง AI นั้นเป็นที่พูดถึง และมาอรง เป็นอันดับต้นๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว จากที่บริษัท OPEN AI ได้เปิดตัว ChatGPT ที่สามารถทำตามคำสั่งป้อนข้อมูล มีความสามารถทำได้หลายๆอย่าง ทำให้หลายๆ บริษัทชั้นนำในด้านไอที ทยอยเปิดตัว AI ของตัวเอง ทั้ง Google เปิด Bard, Microsoft ก็เปิดตัว Copilot ที่ร่วมมือกับ ChatGPT ได้, มี Midjourney มี DALLE3 เป็นต้น นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เราได้เห็นความสามารถต่างๆของเอไอ ไม่ว่าจะเรื่องการรับคำสั่ง ถามอะไรตอบได้หมด สั่งเขียนโปรแกรมก็ทำได้ วาดรูปตามคำสั่งก็ทำได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งความสามารถที่เอไอนั้นสามารถทำได้ แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงและมีการถกเถียงกันอย่างมากคือการละเมิดลิขสิทธิ์ในการป้อนข้อมูลหรือสอนเอไอเจอเจอเรทออกมา โดยบางส่วนมองว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดเพราะละเมิดภาพต่างๆ บางส่วนก็มองว่าเอไอจะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเราได้ ทำให้ทำงานได้ไวขึ้น

ในวงการศิลปะก็มีการพูดถึงในเรื่องของการนำงานศิลปะที่ไม่ได้อนุญาติมาเจนเนอเรทออกมาเป็นรูปตามคำสั่ง โดยศิลปะจากเอไอถูกวิพากย์วิจารณ์กันอย่างมากมายในช่วงหลังจากการเปิดตัว ในวันนี้รายการของเราจะขอนำเสนอเรื่อง “A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้ จะร่วมวิเคราะห์ ไปพร้อมๆกัน

 

A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้

 

เอไอ (Artificial Intelligence) คือเทคโนโลยีที่สามารถจำลองความคิดและการเรียนรู้ของมนุษย์ได้ ในปัจจุบัน เอไอมีบทบาทสำคัญในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การธุรกิจ การสื่อสาร การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เอไอก็ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้งานเป็นไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เอไอยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้ด้วย

1. งานศิลปะจากเอไอ (AI art) คือผลงานที่สร้างขึ้นโดยใช้เอไอเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ซึ่งอาจเป็นการใช้เอไอเพื่อช่วยสร้างรายละเอียด องค์ประกอบ สไตล์ หรือการเรนเดอร์เสมือนจริง หรืออาจเป็นการใช้เอไอเพื่อสร้างผลงานออกมาโดยอิสระ โดยอาศัยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในระบบ เช่น คำ ภาพ หรือเสียง

2.งานศิลปะจากเอไอมีความน่าสนใจและน่าสังเกต ไม่เพียงเพราะความสวยงามหรือความแปลกใหม่ แต่ยังเพราะความสามารถของเอไอที่สามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบของข้อมูลได้ และสามารถสร้างผลงานที่มีความหลากหลาย ความซับซ้อน และความเป็นเอกลักษณ์ได้ ซึ่งบางครั้งอาจเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์

เอไอสามารถทำงานกับศิลปินได้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น

– เอไอเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น โดยใช้เอไอเพื่อช่วยสร้างรายละเอียด องค์ประกอบ สไตล์ หรือการเรนเดอร์เสมือนจริง¹²

– เอไอเป็นศิลปินในตัวเอง ที่สามารถสร้างผลงานออกมาโดยอิสระ โดยอาศัยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในระบบ เช่น คำ ภาพ หรือเสียง

– เอไอเป็นผู้ช่วยที่ช่วยให้ศิลปินเรียนรู้และพัฒนาฝีมือของตนเอง โดยใช้เอไอเพื่อวิเคราะห์ วิจารณ์ และแนะนำผลงานของศิลปิน ทำให้เอไอและศิลปินสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประโยชน์ และสร้างผลงานที่น่าสนใจและมีคุณค่าได้

 

อย่างไรก็ตาม งานศิลปะจากเอไอก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่รับรองได้ว่าจะได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าจากทุกคน เพราะมีข้อถกเถียงและคำถามหลายอย่างที่เกิดขึ้นในวงการศิลปะ เกี่ยวกับการนำเอไอเข้ามามีส่วนร่วม บางคนอาจถือว่าเอไอเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงต้องมีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจ บางคนอาจถือว่าเอไอเป็นศิลปินในตัวเอง ที่มีความคิดและการแสดงออกทางศิลปะได้ และมีสิทธิ์ในผลงานที่สร้างขึ้น และบางคนอาจถือว่าเอไอเป็นอันตรายต่อวงการศิลปะ ที่ทำให้ศิลปินมนุษย์เสียความสำคัญ และลดทอนคุณค่าของการสร้างสรรค์จากจิตใจ

ดังนั้น การมาของเอไอในวงการศิลปะ จึงเป็นเรื่องที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับมุมมองและวัตถุประสงค์ของผู้เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เอไอเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและความเป็นไปได้สูง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ ดังนั้น มนุษย์จึงควรใช้เอไออย่างมีสติปัญญา และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านศิลปะหรือด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

 

ข้อความบทความข้างต้นนั้น ก็คือหนึ่งในบทความที่ให้ป้อนคำสั่งให้เอไอใน Bing ของ Microsoft เขียนและเรียบเรียงมาให้ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบนึงที่ผู้เขียนมองว่าเป็นเครื่องมือช่วยให้เราได้ทำงานได้ไวขึ้นอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นว่า ควรใช้เอไออย่างมีสติปัญญา ต้องนำมาวิเคราะห์อ่านและเรียบเรียง ตรวจสอบ คัดกรองด้วยตัวของเราเอง ในงานศิลปะที่เราให้เอไอช่วยก็นับเป็นอีกหนึ่งที่ต้องตวจสอบและคำนีงการใช้งานต่างๆอีกด้วย

และนี่ก็เป็นเรื่องราวของ A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้ ท่านผู้ฟังคิดเห็นอย่างไรกับเอไอ ร่วมพูดคุยกันได้ครับ

_________________________________________________________________________________________________________________________________________________

Source:
Conversation with Bing, 04/01/2024

 เอไอ : รวมข้อถกเถียงในวงการศิลปะจาก AI หลังกระแส Midjourney – BBC News ไทย. https://www.bbc.com/thai/articles/c1rexy9d7nyo.

 AI วาดภาพเองได้แล้ว วงการศิลปะจะเป็นอย่างไร? ในวันที่ AI เริ่มยึดครอง. https://futuretrend.co/ai-and-art-industry/.

 วิเคราะห์ผลกระทบศิลปะจาก AI เข้ามาแทนที่หรือเติมเต็มวงการศิลปะ. https://bing.com/search?q=%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b9%84%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a8%e0%b8%b4%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b0.

วิเคราะห์ผลกระทบศิลปะจาก AI เข้ามาแทนที่หรือเติมเต็มวงการศิลปะ. https://fastwork.co/blog/traditional-art-vs-ai/.

เมื่อ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะ… ในอนาคตจะมาแทนที่ศิลปิน…. https://droidsans.com/midjourney-is-that-ai-art-really-art-technology/.

AI วาดภาพเองได้แล้ว ศิลปินยังจำเป็นอยู่ไหม? วงการศิลปะจะเป็นอย่างไร ใน …. https://futuretrend.co/ai-and-art-industry/

เมื่อ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะ… ในอนาคตจะมาแทนที่ศิลปิน…. https://droidsans.com/midjourney-is-that-ai-art-really-art-technology/.

AI วาดรูป เทรนด์การสร้างผลงานศิลปะ แทนที่ หรือ เติมเต็ม ฝีมือและ…. https://www.chula.ac.th/highlight/94907/.

ความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดภาคใต้

  การบันทึกเรื่องราวของผู้คนท้องถิ่นภาคใต้ในอดีตนิยมบันทึกไว้ในหนังสือบุดหรือสมุดข่อย ซึ่งทางภาคกลาง เรียกว่า สมุดไทย หนังสือบุดเป็นเอกสารโบราณที่เก่าแก่บางฉบับมีอายุหลายร้อยปี ส่วนใหญ่พบเห็นได้ตามวัดและบ้านเรือนของผู้คงแก่เรียนหรือปราชญ์ท้องถิ่น คำว่า “บุด” น่าจะมาจากคำว่า “ปุส.ตก” ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า “โปต.ถก” เดิมแปลว่า หนังสือ, ผ้า, เปลือกไม้ หนังสือบุดแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ “หนังสือบุดขาว” (สมุดไทยขาว) เนื้อกระดาษสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีดำ และ “หนังสือบุดดำ” (สมุดไทยดำ) เนื้อกระดาษสีดำเขียนด้วยตัวอักษรสีขาว หรือสีรงหรือสีทอง บางท้องถิ่นเรียกหนังสือบุดว่า หนังสือ “กริดหนา” ส่วนเนื้อหาที่เขียนมีหลากหลายสาขา เช่น เรื่องพุทธศาสนา สุภาษิตคำสอนประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ตำนาน โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ตำรายา เป็นต้น

หนังสือบุดถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมสรรพวิชาสาขาต่าง ๆ ที่นักปราชญ์ในท้องถิ่นได้แต่งหรือคัดลอกขึ้นเป็นองค์ความรู้ที่มีการถ่ายทอด และสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน การบันทึกเนื้อหาในหนังสือบุดนิยมใช้อักษรและภาษาไทยและมีการใช้อักษรขอมประกอบบางส่วน หนังสือบุดนี้ชาวภาคใต้ในอดีตนิยมบันทึกเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองหรือด้วยวิธีการคัดลอกทั้งคัดลอกเอง และให้ผู้อื่นคัดลอก แล้วถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นสมบัติของวัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการศึกษาในสมัยก่อนเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ศึกษา การสร้างการเขียน และการคัดลอกวรรณกรรม ที่เกิดขึ้นพบว่าส่วนใหญ่ผู้สร้างจะมีความเชื่อตรงกันคือขอให้การสร้างหนังสือนั้นเป็น ปัจจัยให้ได้ชาติภพที่ดีขึ้นเพราะความศรัทธาเชื่อถือในพระพุทธศาสนาและมีความเชื่อเกี่ยวกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้กระทำมาจะทำให้ได้เกิดใหม่ในชาติภพที่ดีมีความสมบูรณ์ด้วยประการต่างๆ ในชาติภพหน้า นอกจากนี้ชาวภาคใต้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ความเชื่อว่าถ้าทำให้หนังสือบุดชำรุดผู้นั้นจะตกนรกความเชื่อเกี่ยวกับการบรรลุโพธิญาณหรือนิพพาน ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดในยุคพระศรีอาริย์ ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค เป็นต้น ความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุด ส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกี่ยวกับพุทธศาสนา ไสยศาสตร์ และจริยวัตรของชาวภาคใต้ตัวอย่างความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดที่น่าสนใจมีดังนี้

๑.ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างหนังสือบุดเป็นพุทธบูชา ชาวใต้นิยมสร้างวรรณกรรมหนังสือบุดเป็นพุทธบูชา เพราะเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยทำให้บรรลุโพธิญาณหรือนิพพาน และให้เกิดทันศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยที่จะประสบกับความสุขความเจริญก้าวหน้าเป็นยุคที่ปราศจากความทุกข์

          ๒.ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้หนังสือบุดเป็นส่วนผสมวัตถุมงคล ชาวภาคใต้เชื่อว่าหนังสือบุดที่บันทึกคาถาอักขระเลขยันต์ด้วยอักษรขอมเป็นหนึ่งสื่อที่มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมนำไปเป็นส่วนผสมของการทำเครื่องรางของขลังเพราะเชื่อว่าจะทำให้วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เช่น การเผาหนังสือบุดที่เป็นคัมภีร์ทางศาสนาหรืออักขระเลขยันต์เป็นผงผสมเพื่อทำพระเครื่องแบบต่าง ๆ เป็นต้น

๓.ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้หนังสือบุดดำเป็นยารักษาโรค โดยเชื่อว่าหนังสือบุดคำเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกได้ คนสมัยก่อนจึงนิยมตัดหนังสือบุดเพื่อนำไปม้วน จุดไฟสูบเป็นยาแก้โรคริดสีดวงจมูก สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดความเสียหาย และเป็นการทำลายหนังสือบุด 

๔.ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาหนังสือบุด ชาวใต้ในอดีตให้ความสำคัญกับหนังสือบุดและยกย่องผู้รู้หนังสือเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นคัมภีร์หรือหลักธรรมทางศาสนาและพระตำรากัลปนาวัดที่รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์ ดังนั้นเมื่อนำออกมาอ่านจึงต้องใส่พานทูนเหนือ ศีรษะกั้นร่มและมีการถวายบังคมเสียก่อน หนังสือนี้มีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บางแห่งนิยมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ที่สามารถป้องกันมดปลวกได้เป็นอย่างดี หรือไม่ก็นำไปห่อผ้าขาวไว้ การนำหนังสือออกมาอ่านผู้อ่านจะต้องนุ่งขาว ห่มขาวและรักษาศีล ซึ่งพบเห็นได้จากหนังสือบุด เรื่อง “ตำนานสร้างโลก ฉบับป่าลาม ตำบลช้างให้ตก อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่ได้กล่าวถึงการปฏิบัติต่อหนังสือบุดไว้

๕.ความเชื่อเกี่ยวกับการบันทึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวอักษรขอม การเขียนเลขยันต์ในหนังสือบุดนิยมเขียนด้วยอักษรขอม เนื่องจากชาวใต้เชื่อว่าเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์และตัวอักษรขอมยังนำไปใช้ในมิติของความขลัง เช่น การจารด้วยดินสอพองทำผงผสมกับวัตถุอื่นๆ เพื่อทำพระเครื่อง แล้วนำไปบรรจุไว้ใต้ฐานเจดีย์หรือสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนา เป็นต้น ในการบันทึกอักษรเรื่องราวทางศาสนาลงในหนังสือบุดนั้น มีความเชื่อว่าจะต้องไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นพระธรรมคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ หากแกล้งเขียนผิดเพียง ๑ ตัวอักษร เชื่อว่าจะเกิดบาปกรรมเท่ากับไม้ใหญ่ในป่าหิมพานต์หัก ๑ ต้น ถ้าเขียนผิดโดยบังเอิญมิให้ขีดฆ่า ขูดลบ แต่ผู้เขียนจะต้องทำวงกลมเอาไว้อย่างบรรจงรอบตัวผิด เรียกจุดดำตำหนิตรงนี้ว่า “พระธรรมผิด” ใครพบเห็นอาจสักการบูชา “พลี” ขอชิ้นส่วนนั้นมาทำเป็นเครื่องรางของขลังโดยยึดเอาคำว่า “พระธรรมผิด”เป็นสิ่งบันดาลให้เกิดความคลาดแคล้วปลอดภัย 

๖.ความเชื่อเกี่ยวกับการบันทึกอักษรไว้ใต้เส้นบรรทัด สมัยโบราณนิยมเขียนหนังสือไว้ใต้เส้นบรรทัด เพราะเชื่อว่าเป็นการเคารพบูชาครูแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของชาวภาคใต้ที่มีความเคารพยำเกรงต่อผู้มีพระคุณหรือครูบาอาจารย์ แม้แต่การเขียน อักษรก็ถือเส้นบรรทัดเป็นครูและไม่เขียนเกินเส้นบรรทัด มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าตีตนเสมอครู  

          หนังสือบุดหรือสมุดไทยถือเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าที่เป็นขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญา อันเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาสาขาต่าง ๆ ตลอดถึงความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหนังสือบุด ซึ่งมีทั้งความเชื่อที่เป็นคุณประโยชน์และความเชื่อในทางลบหรือการทำลายหนังสือ ดังได้กล่าวแล้ว อันเป็นพื้นฐานและรากเหง้าของสังคมท้องถิ่นและประเทศชาติที่ทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญและช่วยกันอนุรักษ์ ดังมีการเปรียบเทียบหนังสือไว้ว่า “หนังสือคือขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญา” ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันหวงแหน ทะนุถนอม ใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ธำรงรักษาและสืบทอดให้คงอยู่คู่ประเทศชาติของเราสืบไป

เรียบเรียงบทความโดย:

นางสาวขวัญเรือน บุญกอบแก้ว นักวิจัยชำนาญการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

 

เอกสารอ้างอิง

ชัยวุฒิ พิยะกูล. (๒๕๔๕), การอนุรักษ์และการปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ประเภทหนังสือบุด. สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ตำบลเกาะยออำเภอเมือง จังหวัดสงขลา.

สุริวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. (๒๕๔๗). วรรณกรรมทักษิณ : วรรณกรรมพินิจกรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)

สืบพงศ์ ธรรมชาติ. (๒๕๓๔). “การศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมชาดกภาคใต้ จากหนังสือบุด “วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ร้านขายของชำในหมู่บ้าน : ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจของชุมชน

     ใครที่มีโอกาสได้เดินเข้าไปในหมู่บ้านหรือชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายคนอาจจะได้เห็นร้านขายของชำที่ตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านหรือในหมู่บ้าน ร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นร้านเพิงเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ในที่ดินที่ไม่กว้างมากนัก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนเมือง บางร้านก็ดัดแปลงบางส่วนภายในบ้านเป็นร้านค้า โดยส่วนใหญ่แล้วร้านค้าเหล่านี้จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท เรียกว่าแทบนานาชนิดที่เราอาจคาดไม่ถึง และบางร้านอาจไม่มีการโชว์สินค้าหน้าร้านเหล่านั้น

     เมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันยังจำได้ว่าร้านขายของชำหน้าหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ เจ้าของร้านเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวบ้านในชุมชนเรียกขานสั้น ๆ ว่าป้าตอนนั้นพวกเราเด็ก ๆ ไม่รู้จักชื่อจริงของป้า จนกระทั่งเราโตขึ้นมาหลายปีถึงจะได้รู้จักชื่อของป้า ร้านขายของชำของป้าจัดเป็นร้านขายของชำประจำหมู่บ้านขนาดกลางร้านแรก ๆ ไล่เลี่ยกับอีกร้านที่ตั้งฝั่งตรงกันข้ามกับร้านป้า ซึ่งเป็นร้านของชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นเดียวกัน และทั้งสองร้านเจ้าของร้านสามารถพูดภาษามลายูได้

     นอกจากนั้นภายในหมู่บ้านที่ฉันเคยอาศัยยังมีร้านขายของชำขนาดเล็กภายในหมู่บ้านอีกหนึ่งร้านซึ่งเจ้าของร้านเป็นชาวมุสลิม แต่จะมีสินค้าน้อยกว่าและไม่หลากหลายเท่ากับสองร้านที่กล่าวมาเบื้องต้น หากจะเปรียบเทียบร้านขายของชำในหมู่บ้านสมัยก่อนก็เปรียบเสมือนกับร้านสะดวกซื้อสมัยนี้ เพราะมีของขายสารพัด ตั้งแต่ผัก ผลไม้สด เครื่องครัว อาหารแห้ง สบู่ ผงซักฟอก แชมพู ถ่าน น้ำแข็ง ขนมบุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน เข็มด้ายฯลฯ หากสินค้าใดที่เราไม่เห็นวางโชว์หน้าร้าน ให้เราถามคนขายดู เขาจะเดินไปหลังร้านหรือไปยังที่วางของและรื้อของที่เราต้องการให้ จนเราเองนึกฉงนใจว่ามีของสิ่งนี้ขายด้วยหรือ

        ร้านขายของชำในหมู่บ้านแม้จะไม่ได้เปิดขายตลอดเวลาเหมือนร้านสะดวกซื้อสมัยนี้ แต่ก็เปิดขายทุกวันไม่มีวันหยุด หากเป็นช่วงกลางคืนที่ร้านปิด แต่ชาวบ้านมีความจำเป็นต้องซื้อยาสามัญประจำบ้านเนื่องด้วยเหตุป่วยไข้ของสมาชิกในครอบครัวกระทันหัน เจ้าของร้านก็ไม่ลังเลที่จะเปิดร้านเพื่อขายยาฯ ให้อย่างมีน้ำใจ และในบางครั้งชาวบ้านสามารถซื้อสินค้าแบบเชื่อหรือติดเงินไว้ก่อน แล้วค่อยทยอยจ่ายทีหลังตามความสามารถ สิ่งนั้นคือภาพของร้านขายของชำดำเนินอยู่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

        ร้านขายของชำในหมู่บ้านในอดีตเป็นตัวชี้วัดหลักประการหนึ่งเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านในชุมชน โดยสามารถวัดจากชนิดหรือประเภทที่ชาวบ้านในชุมชนนิยมซื้อบ่งบอกถึงความต้องการ ความจำเป็นและรายได้ของผู้ซื้อ ความถี่ในการซื้อ การซื้อสินค้าแบบเชื่อ จำนวนสินค้าที่นำมาจำหน่าย แม้กระทั่งรายได้ของผู้เป็นเจ้าของร้านขายของชำ ซึ่งสามารถมองสภาพการซื้อขายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในชุมชน ที่เน้นการซื้อขายกับชาวบ้านในชุมชนเป็นหลัก ผู้ขายเน้นการขายเพื่อรับผลกำไรเพื่อใช้ยังชีพเป็นหลัก ส่วนใหญ่ใช้แรงงานของสมาชิกในครอบครัวในการช่วยขายของ และมีการโอนถ่ายกิจการค้าขายเพื่อเป็นมรดกตกทอดแก่สมาชิกในครอบครัวเพื่อเป็นเจ้าของร้านค้าต่อไป

        ในวันนี้แม้บทบาทและสถานะของร้านขายของชำในหมู่บ้านจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตด้วยสาเหตุหลากหลายประการ ทั้งในเรื่องร้านค้าที่เพิ่มขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ร้านสะดวกซื้อ การขายของทางออนไลน์ การขายพร้อมบริการส่งสินค้าแบบเดลิเวอรี่และรูปแบบอื่น ๆ แต่ร้านขายของชำอีกหลายๆ ร้านก็ยังคงดำรงอยู่โดยการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย แม้จะไม่รุ่งเรืองมากเท่ากับในสมัยอดีต โดยเฉพาะหากกิจการดังกล่าวได้รับการโอนถ่ายให้แก่ทายาทที่เป็นคนรุ่นใหม่ ก็จะมีการปรับรูปแบบร้านและการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น การปรับรูปโฉมร้านให้น่าเข้าไปซื้อจับจ่ายใช้สอย การบริการส่งสินค้าถึงบ้านโดยการเพิ่มค่าส่งหรือบริการฟรีเมื่อซื้อสินค้าครบตามยอดจำนวนที่กำหนด การมีโปรโมชั่นของร้านตามช่วงเวลาหรือเทศกาลต่าง ๆ

        ทั้งนี้ จากการสังเกตุและลงพื้นที่ในชุมชนหลาย ๆ แห่งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ พบว่า แม้ว่าขายของชำบางร้านยังยึดรูปแบบการขายและรูปลักษณ์แบบเดิม กลับยังสามารถดำรงอยู่ได้ เพราะยังคงมีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็น เนื่องจากร้านตั้งอยู่ในหมู่บ้าน ระยะทางใกล้ทำให้ซื้อได้ง่าย สินค้าขายปลีกในราคาไม่แพง เช่น ผงซักฟอก สบู่ ในราคาไม่เกิน 10 บาทยังพอซื้อหาได้ และบางร้านยังสามารถซื้อแบบเชื่อโดยอาศัยความไว้วางใจกันเช่นในอดีตได้ 

        ซึ่งหากมองในภาพการคงอยู่ของร้านขายของชำในหมู่บ้าน นอกเหนือจากที่เราจะได้เห็นระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่ดำรงอยู่มาช้านานในสังคมชายแดนใต้หรือภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย เรายังได้เห็นรูปแบบของความเอื้ออาทร ความไว้เนื้อเชื่อใจ การปรับตัวในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมระหว่างเจ้าของร้านขายของชำซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน แต่อาศัยอยู่ร่วมกัน และทำการค้าขายในชุมชนมุสลิมแต่สามารถพูด หรือติดต่อสื่อสารในภาษาท้องถิ่นได้ โดยที่การยืนหยัดต่อสู้ของเจ้าของร้านขายของชำท่ามกลางการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงของการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ที่มีความรวดเร็วและดุเดือดอยู่ตลอดเวลา การคงอยู่ของร้านขายของชำในหมู่บ้าน จึงเป็นเสมือนหนึ่งสัญญาณของการพึ่งพาอาศัยกันในบทบาทที่แตกต่างกันของแต่ละฝ่ายที่ยังคงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยง โอบอุ้มสถานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านในชุมชนให้สามารถค่อย ๆ เติบโตไปด้วยกัน แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวเดินร่วมกันของผู้คนในชุมชน และสังคมในโลกและยุคสมัยแห่งการแข่งขันทางการค้าและการกระตุ้นการบริโภคทุกหนแห่งเฉกเช่นทุกวันนี้

____________________________

เขียน/เรียบเรียงโดยบทความโดย นางสาวรอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

ย้อนอดีตญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่อ่าวมะนาว

      เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกโดยเดินทัพเข้าไทย ทั้งทางบกและทางทะเลด้านอ่าวไทย 7 จังหวัดภาคใต้ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตลอดชายทะเลด้านตะวันตกที่กองบินน้อยอ่าวมะนาวประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากที่สุด แผนการรบของญี่ปุ่นเดิมจะยกพลขึ้นบกที่สงขลาและปัตตานี รวมทั้งโกตาบารูในเขตมลายูแล้วรวมกำลังกันบุกมลายูของอังกฤษลงไปถึงสิงคโปร์ อีกส่วนหนึ่งจะเข้ายึดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพรและประจวบคีรีขันธ์เพื่อเคลื่อนต่อเข้าไปยึดวิคตอเรียปอยท์ เมืองมะริดและเมืองทวายของพม่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดแคบที่สุดญี่ปุ่นเกรงว่าถ้าอังกฤษเข้ามายึดได้ก่อนก็จะเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมลงใต้ โดยเฉพาะทางรถไฟซึ่งจะเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงพลผ่านไทยลงไปแหลมมลายู ญี่ปุ่นต้องคุมเส้นทางนี้ไว้ให้ได้ จึงมาหาข้อมูลล่วงหน้าไว้ ไม่ว่าในทะเลหรือป่าเขา ก่อนถึงกำหนดการยกพลขึ้นบกมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลาและปัตตานีกันมาก โดยเฉพาะที่ประจวบฯ ญี่ปุ่นออกไปลอยเรือตกปลาในอ่าวและด้านหลังเขาล้อมหมวก หน้ากองบินน้อยที่ 5 ส่วนเส้นทางบ้านหนองหิน-ด่านสิงขรทางเข้าพม่า พ่อค้าญี่ปุ่นก็เข้าไปซื้อไม้จันทน์หอมซึ่งมีมากในย่านนั้น จนผิดสังเกต ที่สำคัญกองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินรบซึ่งซื้อจากญี่ปุ่นไปฝึกที่นั่น มีนายทหารญี่ปุ่นยศนาวาตรี 1 คน เรือเอกอีก 3 คนไปเป็นครูฝึกและลงเล่นน้ำทะเลทุกวัน เมื่อทหารไปตีอวนจับปลา ครูฝึกญี่ปุ่นก็ขอร่วมสนุกด้วยเสมอ

     กลางดึกของคืนวันที่ 7 เวลา 02.00 น. มีเรือลักษณะเป็นเรือสินค้าเข้ามาจอดที่ด้านหลังเขาล้อมหมวก ลำเลียงทหารลงเรือท้องแบนเปิดหัว 7 ลำขึ้นบก 4 ลำ ไปขึ้นอ่าวประจวบอีก 3 ลำ ไปขึ้นอ่าวมะนาว เวลา 03.00 น. กองกำลังทหารญี่ปุ่นระลอกแรกขึ้นถึงฝั่ง ส่วนหนึ่งเคลื่อนไปล้อมสถานีตำรวจ เวลา 04.00 น.ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งชูกระดาษในมือแล้วเดินขึ้นไปบนสถานีตำรวจส่งภาษาญี่ปุ่นกับพลตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ แต่ตำรวจไทยไม่รู้จักทหารญี่ปุ่นกลับคิดว่าเป็นมลายูจึงร้องห้ามไม่ให้ขึ้น ทหารญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็เดินขึ้นบันไดไม่ยอมหยุด พลตำรวจถือปืนพระราม 6 ติดดาบปลายปืนยืนคุมบันไดอยู่ จึงแทงพุงเอาด้วยดาบปลายปืนจนทหารญี่ปุ่นล้มลงตกบันได ทหารญี่ปุ่นที่ศาลากลางฝั่งตรงข้ามจึงระดมยิงมาที่โรงพัก ตำรวจที่นอนอยู่บนสถานีประมาณ 20 คนคว้าปืนยิงสู้โต้ตอบกันอยู่ประมาณ 20 นาที ตำรวจไทยก็ยังไม่ยอมถอยให้ทหารญี่ปุ่น ฝ่ายญี่ปุ่นจึงใช้ระเบิดมือขว้างขึ้นไปบนโรงพัก 5 ลูกเป็นผลให้เสียงปืนฝ่ายตำรวจเงียบลงทันที ทุกคนต่างถอยลงจากโรงพัก รุ่งเช้าพบศพตำรวจ 13 ศพมีรอยทั้งถูกยิง ถูกแทง ถูกฟัน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นเก็บศพเรียบร้อยไม่ให้ฝ่ายไทยรู้ กำลังทหารญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งเคลื่อนไปตามริมหาดผ่านหมู่บ้านชาวประมงมุ่งสู่กองบินน้อยที่ 5 รังปืนกลของกองบินอยู่ตรงไหนบ้างญี่ปุ่นรู้หมด จึงคืบคลานเข้าไปจัดการกับทหารที่เฝ้ารังปืนอยู่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งฟันแทงจนยึดรังปืนกลได้หมด แล้วเข้าคุมจุดจอดเครื่องบินและบ้านพักของนักบินที่อยู่เวร เสียงปืนที่สถานีตำรวจดังไปถึงกองบินน้อยที่ 5 เรืออากาศเอกเดหลี สงวนแก้ว นายทหารเวรอำนวยการจึงสั่งให้ทหารเข้าไปหาข่าวในเมือง ได้ทราบว่าญี่ปุ่นยึดสถานีตำรวจ สถานีรถไฟไว้ได้ ขณะเดียวกันเรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม ผู้บังคับการกองทหารราบอากาศก็เข้ารายงานต่อนาวาอากาศตรีหม่อมหลวงประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 ว่าขณะนำทหารออกไปลากอวนจับปลาในอ่าวมะนาว ได้เห็นเรือท้องแบนลำเลียงพลเข้ามาทางปากอ่าว ผู้บังคับกองบินจึงให้เป่าแตรสัญญาณเหตุสำคัญ เข้าประจำที่ตามแผนที่วางไว้ ทางด้านกองรักษาการณ์ที่มีกำลังพลเพียง 20 คน มีจ่าอากาศเอกนิกร พวงไพโรจน์ เป็นผู้บังคับกองรับผิดชอบป้องกันอ่าวประจวบ สั่งทหารกระจายกำลังและรอรับพลประจำปืนที่อยู่ข้างนอกซึ่งอาจถอนกำลังเข้ามา โดยไม่รู้ว่าเสียชีวิตหมดแล้ว ระหว่างนั้น ร.ต.ท.สงบ พรหมานนท์ ซึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นที่โรงพัก มีบาดแผลทั้งถูกยิงและแทงก็เล็ดลอดมาแจ้งข่าวให้ทางกองบินทราบและขอกำลังไปช่วย พอส่งข่าวเสร็จก็ขาดใจตาย เมื่อได้รับสัญญาณแตรบอกเหตุแล้ว เครื่องบินทุกลำซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ในสนามก็ติดเครื่องยนต์ เรืออากาศตรีแม้น ประสงค์ดี นำเครื่องบินขับไล่แบบฮอล์ค 3 ที่ไทยสร้างเองขึ้นได้เป็นลำแรกพร้อมลูกระเบิดขนาด 40 กิโลกรัม 4 ลูก เห็นเงาตะคุ่มของเรือลำเลียงญี่ปุ่นอยู่ในอ่าวจึงหย่อนระเบิดเข้าใส่แต่ไม่ถูกเลยพาเครื่องจะไปลงที่สนามบินต้นสำโรงนครปฐม แต่ไปได้แค่อ่าวชะอำเครื่องก็ขัดข้องเลยต้องลงที่ชายหาด บนเขาล้อมหมวกที่ยื่นลงไปในอ่าวมะนาวมีรังปืนกลตั้งอยู่ ญี่ปุ่นจึงใช้ปืนเรือถล่มจนราบและส่งทหารเข้าคุมรันเวย์ไม่ให้เครื่องบินขึ้น รวมทั้งใช้ปืนกลเรือยิงกราดไว้ไม่ให้เครื่องบินขึ้นได้ เมื่อพันจ่าอากาศเอกพรม ชูวงศ์ นำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์เป็นลำที่ 2 จึงถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่ยิงฐานล้อหัก เครื่องบินเสียหลักไถลลงข้างรันเวย์ นักบินกระโดดลงจากเครื่อง ถูกแทงด้วยดาบปลายปืนเสียชีวิต เครื่องที่ 3 มีจ่าอากาศเอกจำเนียร วารียะกุล เป็นนักบินกับเครื่องที่ 4 มี จ่าอากาศเอกสถิต โรหิตโยธิน เป็นนักบิน ขณะนำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์จะขึ้นบินก็ถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่รุมยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ เครื่องที่ 5 ขณะที่พันจ่าอากาศเอกกาบ ขำศิริ นักบิน กำลังรอให้พันจ่าอากาศโทพร เฉลิมสุข ถอดลูกระเบิดขนาด 50 กิโลกรัมออกเพื่อบรรจุลูกกระสุนปืนกลแทน ก็ถูกทหารญี่ปุ่นบุกเข้าทำร้าย พ.จ.อ.กาบ ถูกยิงที่เท้า แต่ทั้ง 2 ก็สู้กับซามูไรและหนีรอดไปได้ ส่วนเรืออากาศโทสวน สุขเสริม ผู้บังคับหมวดบิน ได้นำเครื่องบินโจมตีแบบคอร์แซร์ที่ไทยสร้างเองจะขึ้น โดยมีพลทหารสมพงษ์ แนวบันทัด เป็นพลปืนหลัง ขณะเตรียมขึ้นก็ถูกญี่ปุ่นยิงจนเครื่องบินชำรุด ทั้ง 2 จึงกระโดดลงจากเครื่องและถูกทหารญี่ปุ่นรุมทำร้าย เรืออากาศโทสวนถูกแทงที่สะโพกบาดเจ็บสาหัส ยศสุดท้ายเป็นพลอากาศโท ส่วนพลทหารสมพงษ์ถูกซามูไรฟันที่ต้นแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญในฐานประกอบวีรกรรมช่วยชีวิตผู้บังคับบัญชา ยศสุดท้ายเป็นพันจ่าอากาศเอก ด้านกองรักษาการณ์ที่วางแนวป้องกันกองบินทางด้านอ่าวประจวบ รอคอยทหารที่ประจำปืนกลด้านนอกจะถอยกลับมา เวลา 05.00 น. เห็นเงาตะคุ่มกำลังคืบคลานเข้ามายังที่ตั้งกองรักษาการณ์ ฟังเสียงพูดพอรู้ว่าเป็นญี่ปุ่นแน่จึงยิงเข้าใส่ เวลา 06.00 น. เสียงปืนฝ่ายไทยเบาบางลง ผู้บังคับกองบินจึงส่งทหารไปเสริมก็พบว่าญี่ปุ่นขุดสนามเพลาะปักธงญี่ปุ่นไว้ปากหลุม แต่แม้จะเสริมกำลังไปช่วยแล้ว แนวรบด้านนี้ฝ่ายไทยก็ไม่อาจทานทหารญี่ปุ่นไว้ได้ เสียชีวิตเกือบหมด รอดตายเพียง จ.อ.อ.นิกร พวงไพโรจน์ ผู้บังคับกองรักษาการณ์และพลทหารจิต อ่ำพันธ์ พนักงานวิทยุ ทางด้านอ่าวมะนาว เรือระบายพลของญี่ปุ่นยังวิ่งเข้าเกยหาดระลอกแล้วระลอกเล่า เรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม คุมกำลังราบอากาศราว 10 คนคอยอยู่ด้านนี้ได้ถอดปืนกลประจำเครื่องบินออกมาใช้ เพราะเครื่องบินไม่สามารถบินขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่นคิดไม่ถึง จึงขึ้นบกกันมาอย่างลอยนวล ขณะนั้นอยู่ในช่วงน้ำลงหาดทรายจึงกว้าง ทหารญี่ปุ่นที่ลุยจากเรือลำเลียงขึ้นมาตกอยู่ในสภาพเป็นเป้าอย่างชัดเจน ปรากฏว่าญี่ปุ่นตายเกลื่อน หาดมะนาว รวมทั้งนายทหารระดับผู้บังคับกองพันด้วย เวลา 07.00 น. ทหารญี่ปุ่นสามารถยึดแนวโรงเก็บเครื่องบินและกองรักษาการณ์ไว้ได้ ผู้บังคับกองบินจึงสั่งเผาอาคารคอนกรีต 2 ชั้นยาว 40 เมตร ซึ่งเป็นกองบังคับการกองบิน สโมสรนายทหาร คลังอุปกรณ์การบินและห้องพักนักบินกับที่พักกองราบอากาศ ส่วนหมวดเสนารักษ์เมื่อเห็นว่าอาคารบังคับการกองบินไหม้ ก็เลยสั่งเผาอาคารของหมวดและห้องพักคนไข้ด้วย พากันอพยพไปหลบอยู่ที่เชิงเขาล้อมหมวก หุงหาอาหารส่งไปช่วยแนวหน้า ทั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่ของคนไทยในเวลารบ ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2484 ให้คนไทยทุกคนปฏิบัติในทุกๆ ทางที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยและขัดต่อประโยชน์ของประเทศที่ทำการรบกับไทย ต้องต่อสู้ข้าศึกทุกวิถีทาง ถ้าไม่สามารถต่อต้านไว้ได้ก็ให้ทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของตนเอง ของผู้อื่นหรือของทางราชการที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้าศึก ทหารญี่ปุ่นส่งกำลังหนุนเนื่องจะเข้ายึดกองบินน้อยที่ 5 ให้ได้ แต่ตลอดทั้งวันที่ 8 ก็ไม่สามารถยึดได้ ถูกต่อต้านอย่างเหนียวแน่น คืนวันที่ 8 ต่อวันที่ 9 เกิดฝนตกอย่างหนักญี่ปุ่นยังยิงเข้ามาอย่างประปราย ฝ่ายไทยต้องการประหยัดกระสุนเลยเอากระสุนซ้อมยิงมายิงขู่ญี่ปุ่น เก็บกระสุนจริงไว้

ทหารกองบินที่ 5 ขณะเคลื่อนกำลังสู้กับทหารญี่ปุ่น

     เช้าวันที่ 9 เวลา 08.00 น. ขณะสถานการณ์คับขัน น.ต.ม.ล.ประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยสั่งให้ทหารทุกคนตะโกนขึ้นว่าทหารเรือมาช่วยแล้วแล้วไชโยโห่ร้องกันอย่างดีใจ บรรดาครอบครัวทหารที่ไปหลบอยู่เชิงเขาล้อมหมวกได้ยินก็ไชโยตาม ซึ่งก็ได้ผลพอควร ทหารญี่ปุ่นที่ล้ำเข้ามาพากันถอยกรูด ต่อมานายหยอย ทิพย์นุกุล บุรุษไปรษณีย์นำโทรเลขจาก พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้หยุดยิง แต่ผู้บังคับกองบินไม่ยอมเชื่อเกรงว่าจะเป็นกลลวงของญี่ปุ่น จนกระทั่ง 10.00 น. ผู้บังคับการกองบินได้ปรึกษากับบรรดานายทหารเห็นว่าไม่มีทางจะสู้กับกองทัพญี่ปุ่นได้ เพราะกำลังน้อยกว่ามากและยังถูกล้อมอยู่ในที่จำกัด รอความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่เห็นวี่แวว จึงสั่งให้นายทหารเหลือกระสุนสำหรับตัวเองไว้คนละนัด และให้เผาคลังน้ำมันที่ตั้งอยู่เชิงเขาล้อมหมวกด้านอ่าวประจวบเสีย เวลา 12.00 น. นายจรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ปลัดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมการจังหวัดและอำเภอ มีนายตำรวจติดตามอีก 7 คน เดินทางด้วยรถ 6 ล้อของกรมทางติดธงสีขาวหน้ารถ นำโทรเลขคำสั่งหยุดยิงของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมามอบให้ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 แจ้งว่ารัฐบาลได้ยินยอมให้กองทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยแล้วก็พบทหารไทยราว 10 คน กอดคอกันร้องไห้ เวลา 14.00 น. ได้เรียกรวมพลทั้งไทยและญี่ปุ่นที่ลานบินเพื่อปรับความเข้าใจและแบ่งเขตกันป้องกันการกระทบกระทั่ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็สำรวจความเสียหายของตน ทหารญี่ปุ่นงงงันไปตามกันที่เห็นฝ่ายต่อต้านมีเพียงไม่กี่คน ปรากฏว่าด้านฝ่ายไทย ทหารเสียชีวิต 38 คนเป็นนายทหารชั้นประทวนและพลทหาร นายตำรวจเสียชีวิต 1 คน ลูกเสือจากโรงเรียนประจวบวิทยาลัยที่รวมกลุ่มกันไปช่วยลำเลียงอาหารและกระสุนให้ทหารเสียชีวิต 1 คน ครอบครัวทหารเสียชีวิต 2 คน เป็นสตรีคนหนึ่งคือภรรยาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ซึ่งสามีนำเครื่องบินมาประจำที่สนามบินโคกสำโรงนครปฐม ต่อมาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ ก็คือจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนความเสียหายฝ่ายญี่ปุ่น พลอากาศตรีปราโมทย์ ภูติพันธ์ อดีตผู้บังคับกองทหารราบ กองบินน้อยที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้ให้ข้อมูลกับกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด วันที่ 25 กรกฎาคม 2533 เพื่อบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ไว้ว่า
     “การสูญเสียของฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบชัด เห็นแต่เพียงว่าญี่ปุ่นได้เก็บศพและรวบรวมทหารบาดเจ็บวางเรียงไว้ในโรงเก็บเครื่องบินเต็มไปหมด สำหรับศพทหารญี่ปุ่นได้จัดการเผาในหลุมที่เคยใช้เป็นหลุมทิ้งชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งมีการเผาตลอดทั้งคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ประมาณว่าคงมีจำนวนไม่น้อยกว่า 200 ศพ ส่วนทหารบาดเจ็บมีจำนวนมากกว่า 100 คน ที่ยืนยันได้คือมีนายทหารญี่ปุ่นชั้นผู้บังคับกองพันเสียชีวิตที่ริมหาดอ่าวมะนาวขณะยกพลขึ้นบกด้วย 1 คน นายทหารอื่นอย่างน้อย 3 คน ทั้งนี้มีผู้ตัดเครื่องหมายยศจากศพทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

     วีรกรรมอ่าวมะนาวจึงเป็นเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์แสดงถึงธาตุแท้ของความเป็นคนไทย ที่รักชาติมากกว่าชีวิตของตัวเอง แม้ตัวจะตายก็ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นไทย เราจึงมีแผ่นดินที่อยู่อาศัยกันอย่างมั่นคงผาสุกมาจนวันนี้

เรียบเรียงโดย:

อ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ
สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

 

เอกสารอ้างอิง

เรื่องเล่าจากทหารไทยบนสมรภูมิรบ ครั้งญี่ปุ่นบุกมลายู-สิงคโปร์

Japanese invasion of Thailand

ญี่ปุ่น กับการจารกรรมในเมืองนครศรีธรรมราช


อบคุณภาพข้อมูล: 

https://www.hatyaifocus.com/บทความ/1576-เรื่องราวหาดใหญ่-ย้อนเรื่องวันที่%2B8%2Bธันวาคม%2B2484%2Bเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทย%2Bครั้นเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกประเทศไทย%2Bรวมถึงอ่าวไทยทางภาคใต้/

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4665#google_vignette

https://www.gqthailand.com/culture/movie/article/8-dec-thai-japan

สมุนไพรริมรั้ว “เนรมิตสเปรย์ปรับอากาศ”

พืชสมุนไพรต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีมากมาย  ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลายาวนาน เช่น ใบเตย มะกรูด ตะไคร้ ขิง ข่า บัวบก มะเขือเทศ เป็นต้น พืชสมุนไพรเหล่านี้นิยมนำมาใช้ประกอบเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ  นอกจากนี้แล้วยังสามารถนำมาทำเป็นยาดมสมุนไพร ยาสระผม สเปรย์ไล่ยุง หรือแม้กระทั่งสมุนไพรเหล่านี้ยังสามารถนำมาทำเป็นสเปรย์ปรับอากาศได้อีกด้วย ดังนั้น บทความนี้ผู้เขียนของนำเสนอเรื่อง สมุนไพรริมรั้วเนรมิตเสปรย์ปรับอากาศ

ก่อนที่ไปเรียนรู้วิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศ จากสมุนไพรพื้นบ้าน ผู้เขียนขอกล่าวถึง สรรพคุณของสมุนไพรมีมากมายกว่าที่เราคิด เช่น ใบเตยใช้ในการผสมอาหาร ทำอาหาร ดับกลิ่น แก้โรคเบาหวาน ใช้บำรุงหัวใจ มีกลิ่นหอม เมื่อดื่มจะทำให้รู้สึกชุ่มคอ ตะไคร้นอกจากนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารแล้วยังสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ ช่วยดับกลิ่นคาว และกลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี ส่วนมะกรูดใบมะกรูดและน้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในอาหารได้ โดยใช้ในการประกอบอาหารและแต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร เช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก ทอดมัน โรยหน้าข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ฯลฯ นอกจากนี้แล้วมะกรูดยังมีประโยชน์ในการช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็น กลิ่นอับเชื้อราได้อีกด้วยเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนขอกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ทำสเปรย์ปรับอากาศเพื่อเป็นองค์ความรู้เชิงวิชาการ ดังนี้

ตะไคร้ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวประเภทล้มลุก เจริญเติบโตรวมอยู่เป็นกอ ใบและหัวมีกลิ่นหอม  ราก เป็นระบบรากฝอยลำต้น อยู่บนดินรวมกันเป็นกอแน่น มีสีเขียวและม่วงอ่อน ลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก มีลักษณะแข็งเกลี้ยง ตามปล้องมักมีไขปกคลุม ต้นสูงได้ถึง 1 เมตร ใบ เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะยาวเรียวคล้ายใบข้าว ใบรูปขอบขนานแคบ ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวได้ถึง 100 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ผิวใบทั้งสองด้านมีลักษณะสากมือ เส้นกลางใบแข็งตรงรอยต่อระหว่างกากใบและตัวใบมีเกล็ดบางๆ ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ตามขอบใบมีขนเล็กน้อยดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อดอกย่อยมีก้านออกเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่รองรับด้วยใบประดับช่อ ดอกย่อยประกอบด้วยดอกย่อยออกเป็นคู่ ๆ ดอกหนึ่งมีก้านอีกดอกหนึ่งไม่มีก้าน ภายในดอกย่อยแต่ละดอกประกอบด้วยดอกเล็กๆ 2 ดอก ดอกล่างลดรูปมีเพียงเกลีบเดี่ยวโปร่งแสง ปลายแหลมเรียว ดอกบน ในดอกย่อยที่ไม่มีก้านจะเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ส่วนดอกบนของดอกย่อยที่มีก้านจะเป็นดอกเพศผู้หรือเป็นหมัน ผล มีขนาดเล็กเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้มเมล็ด มีแป้งสะสมค่อนข้างมากตะไคร้เป็นพืชที่ปลูกง่าย งอกงามดีในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินเหนียว  แหล่งกำเนิดที่แน่นอนไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นมาเลเซีย ตะไคร้เป็นพืชที่รู้จักและปลูกในหลาย ๆ ประเทศในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมามีการนำไปยังอเมริกาใต้และกลางและไปยังมาดากัสการ์ หมู่เกาะใกล้เคียงจนกระทั่งในแอฟริกา ปัจจุบันมีการปลูกทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อน อินเดียและใกล้เคียง หมู่เกาะของประเทศศรีลังกา คาบสมุทรมาเลย์ แล้วแพร่กระจายไปปลูกในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในทวีปเอเชีย อเมริกา แอฟริกา และอื่นๆ ตะไคร้ขึ้นในที่โล่งแจ้ง ดินร่วนทั่ว ๆ ไป ในประเทศไทยปลูกเป็นพืชผักสวนครัว และตะไคร้ยังมีสรรพคุณมากมาย เช่น แก้และบรรเทาอาการหวัด น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้ สามารถบรรเทาอาการปวดได้ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)ใช้เป็นยาแก้อาเจียน หากนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ (หัวตะไคร้)ช่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ (หัวตะไคร้)รักษาโรคหอบหืด ด้วยการใช้ต้นตะไคร้ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณหน้าอก (ราก)ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย (ราก)ช่วยแก้และบรรเทาอาการปวดท้อง ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้) ช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยอาหาร น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้ มีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการปัสสาวะพิการ และรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้) ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น) ช่วยรักษาอหิวาตกโรค ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน เป็นต้น

ใบเตย ลักษณะคือ  ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ลักษณะใบยาวเรียวคล้ายใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน เส้นกลางใบเว้าลึกเป็นแอ่ง ถ้าดูด้านท้องใบจะเห็นเป็นรูปคล้ายกระดูกงูเรือ ดอกเป็นดอกช่อแบบ สแปดิก (spadix) ดอกย่อยแยกเพศและแยกต้น ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกฝัก/ผล  ผลขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ไม่เกิดดอกและผล เป็นเตยเพศผู้ การปลูกตามริมคูน้ำบริเวณที่น้ำขังแฉะ หรือที่ดินชื้น การดูแรักษา ชอบแสงแดดรำไร แต่ก็ทนต่อแสงแดดจัด  การขยายพันธุ์ ปักชำลำต้น หรือกิ่งแขนง ใบเตยสามารถทำเป็นไม้ประดับสมุนไพรใช้เป็นภาชนะห่อและใส่เพื่อปรุงกลิ่น อาหาร คาวหวาน และยังเป็นพันธุ์ที่ชาวสวนปลูกตัดใบออกจำหน่ายเป็นการค้า ซึ่งใบเตยมีถิ่นกำเนิด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนสรรพคุณทางยาของใบเตยคือ ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ ให้ชุ่มชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน

           ส่วนมะกรูด ลักษณะคือ ลำต้น มะกรูดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ปลูกไว้ครั้งเดียวก็มีชีวิตอยู่ได้นานปี ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลม  ใบ เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยเพียงใบเดียว มีก้านใบแผ่ออกใหญ่ เท่ากันกับแผ่นใบ ทำให้เห็นใบเป็นสองตอน ใบค่อนข้างหนาสีเขียวแก่ ใบมีกลิ่นหอมมากเพราะมีต่อมน้ำมัน ดอก ดอกเดี่ยวสีขาวมักจะอยู่เป็นกระจุก 3-5 ดอก กลีบดอกร่วงง่าย ผล เป็นผลเดี่ยว รูปร่างของผลมีหลายแบบแล้วแต่พันธุ์ บางพันธุ์มีผลขนาดใหญ่ บางพันธุ์มีผิวของผลขรุขระและมีจุกที่หัวผล บางพันธุ์ผลมีขนาดเล็ก บางพันธุ์มีผิวของผลเรียบ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกมะกรูดควรเป็นพื้นที่ซึ่งน้ำไม่ท่วม ดินมีการระบายน้ำได้ดี ปกติ  มะกรูดต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโตพอสมควร ถ้าขาดน้ำ จะทำให้พืชเหี่ยวเฉา และเจริญ เติบโตช้า ผลไม่ดก ขนาดและคุณภาพของผลไม่ดี นอกจากนี้ มะกรูดยังเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย เช่น ใช้เป็นยาหรือส่วนผสมของยาต่างๆ คือ น้ำในผลแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร น้ำมะกรูดใช้ดองยา เพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี  ใบมะกรูดใช้เป็นยาขับลมในลำไส้  แก้จุกเสียด ผลมะกรูดที่คว้านไส้ออก ใช้เป็นยาขับลมแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางต่างๆ กรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ทำให้ผมหวีง่าย น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม 

จากการสัมภาษณ์ปราชญ์ท้องถิ่น คุณซัลมาสะแต ได้กล่าวถึงวิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรดังนี้

ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ประกอบด้วยหม้อ  กรวย ขวดสเปรย์ ภาชนะตวง ตะไคร้ 20 กรัม  ใบมะกรูด 20  กรัม  ใบเตย  20  กรัม  แอลกอฮอล์
(เจือจาง
 70%) 5มิลลิลิตร

ส่วนขั้นตอนวิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรมีดังนี้ 

1) นำใบเตย ตะไคร้หอม ใบมะกรูดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ (เพื่อให้สมุนไพรสามารถออกกลิ่นได้เร็วกว่าการที่ต้มโดยไม่หั่น)

2นำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดลงไปต้มชนิดละ 20 กรัม ต่อแอลกอฮอล์ 50 มิลลิลิตร

3) ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วกรองกากสมุนไพรออก

4) จะได้น้ำสมุนไพรที่กรองแล้ว 

5) นำน้ำสมุนไพรทั้งสาม บรรจุใส่ขวดสเปรย์ พร้อมใช้งาน

จะเห็นว่า สเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง วัสดุ อุปกรณ์สามารถหาไม่ยาก เนื่องจากมีอยู่รอบๆ ตัว ซึ่งสมุนไพรท้องถิ่นเป็นพืชที่คนในไทยนิยมปลูกกันเกือบทุกครัวเรือน สามารถนำมาทำเป็นอาหารในการรับประทาน ยารักษาโรค รวมถึงสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งสเปรย์ปรับอากาศที่ทำจากสมุนไพรที่ได้มากจากท้องถิ่นนั้นมีจุดเด่นที่ดี คือ สามารถขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์สเปรย์ปรับอากาศที่ทำมาจากสารเคมี ที่มีการขายอยู่ในทั่วท้องตลาด และอีกทั้งยังมีความปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกคน ทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์ภูมิปัญญาและสมุนไพรการแพทย์แผนไทยในท้องถิ่นให้กับคนรุ่นหลังต่อๆไป

          ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากส่งเสริมให้มีการรณรงค์ให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืชสมุนไพร และส่งเสริมให้มีการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรท้องถิ่นให้คุณผู้อ่านได้รับทราบ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ทดลองทำใช้เองในครัวเรือนที่บ้าน เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนจากเดิมที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตามร้านค้า ซึ่งมีราคาแพง และเพื่อให้ผู้คนหันกลับมาสนใจในการใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยกันอนุรักษ์ให้ผู้คนหันกลับมาสนใจในการใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น


________________________________________________

เรียบเรียงบทความโดย นางสาวนิปาตีเมาะ หะยีหามะ นักวิจัยสถาบันฯ

.

เอกสารอ้างอิง

ซัลมา สะแต. (สัมภาษณ์). ตำบลลางา  อำเภอมายอ  จังหวัดปัตตานี.

ตะไคร้ สรรพคุณและประโยชน์ของตะไคร้. (ม.ป.ป.) สืบค้นจาก http://frynn.com

พินิจวิถี วัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการตายของชาวมุสลิมชายแดนใต้

ความตายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมและชีวิตของสรรพสิ่งบนโลกรวมทั้งมนุษย์ ในอดีตจนถึงปัจจุบันเมื่อมีความตายเกิดขึ้นในแต่ละกลุ่มชน สังคมล้วนมีวิถีวัฒนธรรม ประเพณีที่แสดงออกถึงความคิด ความเชื่อที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับความตาย และสืบทอดส่งต่อจนถึงปัจจุบัน ทั้งที่ยังคงยึดถือวิถีปฏิบัติโดยเคร่งครัดและบางส่วนอาจมีการปรับเปลี่ยนในช่วงการเปลี่ยนของยุคสมัยของผู้คนในแต่ละยุค

เฉกเช่นเดียวกันกับชาวมุสลิมที่มีวิถี ความเชื่อการปฏิบัติที่ต่อผู้เสียชีวิตทั้งที่บัญญัติอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน หะดีษคำสอนวัฏปฏิบัติจากท่านศาสดามูฮัมมัด(ซ..) รวมทั้งประเพณีบางอย่างในแต่ละท้องถิ่นที่มีการสืบเนื่องมาจากผู้รู้ในยุคเก่าก่อน บรรยากาศความโศกเศร้าแต่ไม่ฟูมฟายของญาติผู้เสียชีวิตที่ปรากฏต่อสายตาของข้าพเจ้าในช่วงชีวิตที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพขั้นตอนการจัดการงานศพอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่สะท้อนออกมาจากความเชื่อในเรื่องโลกหน้าและชีวิตหลังความตายได้เป็นอย่างดี

กลิ่นกำยานที่ลอยมาตามสายลมเมื่อร่างไร้วิญญาณที่เสียชีวิตถูกวางลงบนพื้นบ้านเพื่อดับกลิ่นและป้องกันแมลงที่จะมารบกวนมัยยิต* กาอินลือปัส(Kain Lepas) *บางเบาลายดอกไม้สีสันสดใสถูกนำมาผูกรอบใบหน้าและมัดประสานตรงบริเวณหัวมัยยิต ผ้าอีกสองผืนถูกนำมาคลุมร่างที่ยังอุ่น ๆ เสมือนยังมีลมหายใจอยู่อย่างระมัดระวัง ระหว่างรอการจัดการเชิงพิธีการทางศาสนา ญาติผู้เสียชีวิตได้มีการมอบหมายหน้าที่ให้สมาชิกในครอบครัวและญาติ ๆ จัดการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของการแจ้งอิหม่ามประจำมัสยิดในชุมชนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว โดยระบุชื่อมุสลิมและต่อท้ายว่าเป็นบุตรของใคร จากนั้นผู้ทำหน้าที่ปผู้ประกาศในมัสยิดของชุมชนจะมีการประกาศว่า นาย/นาง/นางสาวฯล บุตรของนาย…… ได้เสียชีวิตลงแล้วเนื่องด้วยเหตุ…… เมื่อเวลา….. ของวัน…. และขณะนี้มัยยิต* ได้ตั้งอยู่ที่บ้านของ..….และจะดำเนินการละหมาดและฝังในเวลากี่โมง จึงขอเชิญชวนและความร่วมมือมาช่วยกันทำโลงศพ ละหมาดและฝังให้แก่มัยยิต* เพื่อร่วมการทำความดีแก่ผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย

รวมทั้งคณะกรรมการมัสยิดจะได้มีการประสานงานกับคณะกรรมการฝ่ายกองทุนจัดการศพ*(ชารีกัตมาตี) เพื่อนำเงินสะสมไปมอบให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตไว้ใช้สำหรับการจัดการศพ(รายละเอียดการมอบเงินกองทุนนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชนแต่ส่วนใหญ่จะต่างกันมากนัก)

ระหว่างนั้นลูกหลาน ญาติมิตรผู้เสียชีวิตจะร่วมกันอ่านอัลกุรอานบริเวณที่วางมัยยิต* มีการประสานจัดการในเรื่องวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับจัดการศพจากมัสยิด เช่น เรือสำหรับอาบน้ำศพซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่อาศัยในตัวเมืองจะนิยมใช้เนื่องจากพื้นที่ในการอาบน้ำมัยยิตมีจำกัด หรือบางครอบครัวอาจให้ลูกหลายผู้เสียชีวิตวางมัยยิตบนตักเพื่อช่วยกันอาบน้ำมัยยิตก็มี อุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้บางส่วนอาจยืมจากญาติๆหรือเพื่อนบ้าน เช่น กะละมังใบใหญ่สำหรับรองน้ำในช่วงการอาบน้ำศพ ม่านผ้าสำหรับบังเพื่อให้เกิดสัดส่วนและความเป็นส่วนตัวฯล รวมทั้งการติดต่อประสานผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการอาบน้ำศพเพื่อเป็นตัวหลักในการอาบน้ำศพ โดยมีลูกหลานหรือญาติๆ ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ช่วยในการอาบน้ำให้แก่มัยยิต

ในระหว่างนี้ลูกหลานที่เป็นวัยรุ่นชายหรือหญิงบางส่วนจะแยกย้ายไปช่วยกันตัดกิ่งต้นพุทราเพื่อช่วยลิดใบพุทรามาใช้เป็นส่วนผสมในการอาบน้ำศพ บรรดาญาติ ๆ ที่มีวัยวุฒิและอาวุโสมากหน่อยจะทำหน้าที่ในการหารือแนวทางในการจัดการศพ เช่น จะอาบน้ำ ฝังศพในช่วงเวลาประมาณกี่โมง จะเชิญใครมาละหมาดบ้าง จำนวนคนละหมาดญานะซะห์*จำนวนเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง ใช้วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง โดยเรื่องหลักที่ต้องเตรียมอย่างเร่งด่วนคือ ผ้าห่อศพ จาน ผ้าซะญาดะห์* ซองจดหมายสำหรับค่าเดินทางของผู้มาร่วมละหมาดญะนาซะห์* ผ้านวมสำหรับรองร่างมัยยิต* หมอน กาอินลือปัส (Kain Lepas)* สำหรับปิดหรือคลุมร่างมัยยิต*

แม้การจัดการศพตามวิถีของชาวมุสลิมจะดูเรียบง่ายและพยายามจัดการให้รวดเร็วที่สุดเพื่อเป็นสิ่งที่ดีแก่ผู้เสียชีวิต แต่จากสถานการณ์และบริบทความเป็นจริงในปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องมีการใช้งบประมาณในการจัดการในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในครอบครัวที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตเมือง จากอดีตที่การจัดการศพเน้นการช่วยเหลือกันระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านในชุมชน โดยระบบชารีกัตหรือกองทุนการจัดการศพในมัสยิดในแต่ละชุมชนรวมทั้งคณะกรรมการมัสยิดมีบทบาทสำคัญในการดำเนินการเรื่องนี้ แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนตามวิถีและความสะดวกของทุกฝ่าย โดยเน้นแก่นแท้ของการจัดการศพตามหลักการอิสลามคือรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงรวมทั้งเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเพือย

เมื่อญาติผู้เสียชีวิตและผู้มีหน้าที่ในการอาบน้ำมัยยิตได้อาบน้ำชำระร่างผู้เสียชีวิตจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว จะนำมัยยิตมาวางไว้บนเสื่อปูด้วยผ้านวมที่จัดเตรียมไว้ ผู้ทำการอาบน้ำมัยยิตจะเช็ดตัวมัยยิตให้แห้งพร้อมทั้งประแป้งไปตามจุดต่าง ๆ รวมทั้งบนใบหน้าจากนั้นนำผ้ามาห่อมัยยิต ก่อนที่จะใช้ผ้าขาวปิดหน้ามัยยิตผู้ทำหน้าที่ในการห่อมัยยิตจะเรียกลูกหลานผู้เสียชีวิตให้มาดูหน้าหรือหอมใบหน้าผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทำการปิดใบหน้ามัยยิตเพื่อเตรียมตัวยกไปยังคานแคร่ไม้หรือเหล็กสำหรับวางมัยยิตเพื่อแบกไปยังกุโบร์(สุสาน)

จากนั้นร่างผู้เสียชีวิตจะถูกวางและแบกด้วยคานแคร่ไม้ในอดีตจะนิยมใช้คนช่วยกันแบก แต่ปัจจุบันหากเส้นทางระหว่างบ้านผู้เสียชีวิตและกุโบร์มีระยะทางไกลหรือเพื่อความสะดวกของครอบครัวผู้เสียชีวิตที่จัดการ บางครอบครัวอาจมีการนำมัยยิตวางที่ท้ายรถกระบะ ระหว่างทางที่มัยยิตผ่านมุสลิมที่สัญจรไปมาที่เห็นมัยยิตถูกแบกผ่านตนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่มัยยิต อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ..) บรรดาเด็ก ๆ วัยรุ่นจะเดินและขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามขบวนผู้เสียชีวิตอย่างช้า ๆ เพื่อการส่งลาเป็นครั้งสุดท้าย

มัยยิตจะถูกนำไปวางไว้ที่มัสยิดเพื่อรอการละหมาดญะนาซะห์ (การละหมาดแก่ผู้เสียชีวิต) จากนั้นจึงนำมัยยิตไปฝังที่ในกุโบร์* ชาวบ้านบางส่วนทั้งที่เป็นคณะกรรมการประจำมัสยิดในชุมชนและญาติผู้เสียชีวิตที่เป็นผู้ชายจะทำการขุดหลุมเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า เมื่อมัยยิตเข้าสู่บริเวณกุโบร์จะมีผู้รอรับเพื่อนำไปฝัง ระหว่างนั้นจะมีการจัดการตามแนวทางของศาสนาอิสลาม และตามรูปแบบของแต่ละท้องถิ่น ภาพใบหน้าของญาติผู้หญิงที่อยู่ใกล้รั้วกั้นระหว่างภายนอกกับกุโบร์และหลุมฝังศพของผู้เสียชีวิตที่พยายามเพ่งมองขั้นตอน วิธีการและมองภาพของญาติตนเองที่ต้องเดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งทำให้ข้าพเจ้ารำลึกถึงความตายและการจากลาในระดับที่เข้มข้นมากขึ้น ณ วินาทีนี้ยากยิ่งที่น้ำตาแห่งความโศกเศร้าคิดถึงของญาติมิตรผู้ใกล้ชิดจะไม่หลั่งรินลงมาทั้งที่เห็นในลักษณะเชิงรูปธรรมในรูปของหยดน้ำตาที่หลั่งรินและนามธรรมด้วยสายตาที่โศกเศร้าทว่าน้ำตากลับไหลลงสู่ก้นบึ้งภายในใจ

หลุมกุโบร์ถูกกลบฝังแน่นหนาเพื่อป้องกันการขุดคุ้ยของสัตว์ที่อาจมารบกวนมัยยิต ผู้รู้บางท่านในบรรดาผู้จัดการฝังศพจะเด็ดกิ่งไม้ที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ เพื่อปักเหนือหลุมฝังศพพร้อมนำกาน้ำมารดน้ำลงไปยังหลุมที่ฝังร่างผู้เสียชีวิต บางครอบครัวได้เตรียมต้นไม้เล็ก ๆ เพื่อปักเหนือหลุมฝังศพญาติของตน พร้อมกับสั่งทำบาตูแนแซ(ป้ายปักหลุมศพ) เพื่อเป็นสัญลักษณ์อาณาบริเวณหลุมศพ ชีวิตในโลกนี้และความผูกพันในเชิงกายภาพระหว่างผู้เสียชีวิตกับโลกนี้ได้สิ้นสุดลงเมื่อย่างก้าวของมนุษย์คนสุดท้ายที่ได้มาส่งได้ย่างเท้าออกไปจากกุโบร์ เหลือเพียงชีวิตที่เป็นโลกหลังความตายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในกุโบร์ ขอความสันติจงมีแด่พี่น้องและชีวิตศรัทธาชนที่ถูกฝังร่างไว้ในกุโบร์หรือนอกกุโบร์ทุกหนแห่ง

……………………………

ศัพท์เฉพาะ

มัยยิต                                     : ร่างผู้เสียชีวิต

กาอินลือปัส (Kain Lepas) : ผ้าคลุมผมและไหล่แบบบางที่ผู้หญิงสูงอายุชายแดนภาคใต้สมัยก่อนนิยมใช้คลุมหัวและไหล่

ผ้าซะญาดะห์                          : ผ้าหรือพรมสำหรับปูรองละหมาด

ละหมาดญะนาซะห์                 : การละหมาดให้แก่ผู้เสียชีวิต

____________________________

ความโดย นางสาวรอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

สถานการณ์โนราโรงครูสามจังหวัดชายแดนใต้ในปัจจุบัน

         วันนี้ชวนอ่านวิถีชีวิตชายแดนใต้ด้านประเพณี พิธีกรรมทางวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ได้ปฏิบัติ สืบทอดจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันของชุมชนชาวพุทธเกี่ยวกับสถานการณ์โนราโรงครูปัตตานีในปัจจุบัน เพื่อต้องการเผยแพร่ข้อมูลให้สังคมได้รับรู้ถึงความงดงามทางต้นทุนวัตถุดิบด้านวัฒนธรรมของคนชายแดนใต้

         ประวัติโนราโรงครูโนราโรงครูเกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่โนราเป็นศิลปะการแสดงทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสายเลือดของคนใต้ แต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันไปบ้าง เช่นเดียวกับโนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้ก็มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์บางอย่างที่แตกต่างจากโนราโรงครูภาคใต้ตอนบน จังหวัดพัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช เป็นต้น เช่น การรับไหว้หน้าหิ้ง  การไหว้ตายายเดือน 6 ภาคใต้ตอนบนจัดพิธีกรรมขึ้นต้องมีนายโรงโนราโรงครูไปเล่น  แต่โนราโรงครูสามจังหวัดชายแดนใต้ จะมีหมอพื้นบ้านดำเนินพิธีกรรมเอง นอกจากยังมีรายละเอียดของความแตกต่างในส่วนของพิธีกรรมอื่น ๆ เช่น โนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้ จะวันรับแสดงโนราโรงครูต้องไม่ตรงกับวันดอย วันยกหมฺรับไม่ตรงกับวันพระ  วันส่งตายายต้องหลังเที่ยงคืน   ถ้ามองพิธีกรรมโนราโรงครูจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคณะ แต่ละพื้นที่ และแต่ละบริบทที่ได้รับการสืบทอดต่อๆ กันจากรุ่นสู่รุ่นจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของการสืบทอดและปฏิบัติ

ส่วนประวัติและที่มาของมโนราห์โรงครูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีลักษณะการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผี วิญญาณบรรพบุรุษ และการผสมผสานระหว่างโนราโรงครูภาคใต้ตอนบท คือ สงขลา พัทลุง และผสมผสานกับศิลปะการแสดงมะโย่งของชาวมลายูมุสลิม ดังนั้น ครูหมอโนราจะมีทั้งบรรพบุรุษที่เป็นฝ่ายพุทธและมุสลิม และบางคณะมีบรรพบุรุษฝ่ายจีน และบางคณะโนราโรงครูจะมีเชื้อสายบรรพบุรุษและโนราที่เป็นอุปัชฌาย์ได้มาตัดจุด (ครอบเทริด) จากภาคใต้ตอนบน เช่น จังหวัดสงขลา และพัทลุง ก็จะยึดรูปแบบการแสดงตามที่ได้รับการสืบทอด ดังนั้น โนราโรงครู 3 จังหวัดชายแดนใต้จึงมีความหลากหลายด้านพิธีกรรมและรูปแบบของการแสดง ซึ่งมีทั้งส่วนดีและส่วนที่ต้องร่วมกันเสวนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อปรับความเข้าใจ เพื่อทะลุกรอบการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปสู่การสร้างพลังร่วมกันในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะการแสดงพื้นบ้านโนราโรงครูสามจังหวัดชายแดนใต้ จากการสำรวจและสัมภาษณ์ศิลปินโนราโรงครูในเบื้องต้น พอสรุปได้ว่า 

สาเหตุการแสดงโนราโรงครูมี 3 สาเหตุด้วยกัน คือ 1.รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีตามพันธสัญญาระหว่างบุตรหลานกับครูหมอโนรา 2. ลูกหลานเจ็บป่วยโดยไร้สาเหตุ  ต้องยกขันหมากมาให้นายโรงเพื่อทำพิธีบนบานให้บุตรหลานหายจากอาการเจ็บป่วย 3. การบนบานต่อครูหมอโนราช่วยเหลือ เช่น ให้ได้ลูกชายคนแรก พออายุประมาณ  7 ขวบ จะยกโรงพิธีเพื่อให้หัวหน้าคณะโนราโรงครูพาเด็กลงล่าง หรือบางครั้งเด็กเกิดมาแล้ว สุขภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย เลี้ยงยาก ก็จะบนบานต่อครูหมอมโนราโรงครูให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ปราศโรคภัยไข้เจ็บ 

         นอกจากนั้นจะมีการบนบานให้ครูหมอโนราช่วยเหลือ เช่น การสอบเข้ารับราชการ ม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์ เป็นต้น เมื่อได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ต้องมีการยกโรงครูขึ้นมาแสดง ซึ่งรูปแบบการแสดงโนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้มีอยู่ 3 แบบ คือ

1. โนราโรงครูแก้บน (แบบไม่ยกครู) คือไม่ได้มีกฎเกณฑ์รูปแบบพิธีกรรมอย่างชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 1 2 ชั่วโมง สาเหตุมาจากชาวบ้านได้บนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น หลวงปู่ทวด อดีตเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ และสถานที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชุมชน เป็นต้น จะมีนายโรง พร้อมด้วยนางรำ 1 คน พราน 1 คน และลูกคู่บรรเลงเครื่องดนตรีพอเป็นพิธี

         2. โนราโรงครูแก้บน (แบบยกครู)  ประกอบพิธีกรรม 2 แบบด้วยกัน

           2.1 โนราโรงครูแก้บนแบบครึ่งซีกโรง คือ นิยมใช้พื้นที่บนบ้านประกอบพิธีกรรมแบบย่นย่อ มีการเชื้อครูหมอโนรา สภาวะการเข้าทรงถวายเครื่องเซ่นแก่ครูหมอโนราออกพราน การร่ายรำระหว่างครูหมอกับบุตรหลาน เพื่อความสนุกสนาน จะใช้เวลาการแสดง 1 วัน เริ่มการเข้าโรงตั้งแต่เช้า พอตกเย็นก็เป็นอันเสร็จพิธี การยกโรงโนราแบบนี้สาเหตุมาจากฐานะทางการเงินของเจ้าภาพ ที่ไม่มีความพร้อม และได้ขอต่อครูหมอโนราอย่างถูกต้องพิธีกรรม

          2.2 โนราโรงครูแก้บนตามแบบประเพณีปฏิบัติ คือ รูปแบบ พิธีกรรม ขั้นตอนการยกโนราโรงครูตามประเพณีปฏิบัติตามขั้นตอนพิธีกรรมที่ถูกต้องตามแบบแผนที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมา เวลาในการแสดง 3 คืน 2 วัน

           3. โนราโรงครูกับบริบทที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดง คือ โนราโรงครูเกี่ยวข้องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนชาวพุทธในบริบทอื่นๆ เช่น งานประเพณีรับเทวดาประจำปีช่วงเดือน 6 เป็นการส่งเทวดาองค์เก่า และต้อนรับเทวดาองค์ใหม่ จะต้องให้คณะโนราโรงครูเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณในการต้อนรับ ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาเพศต่าง ๆ เช่น ฟ้าผ่าวัวควายตายกลางทุ่งนา ชาวบ้านเจ็บป่วยและตายโดยไร้สาเหตุ

พิธีการเหยียบเสน

การเซ่นไหว้ตายาย

      ฤดูการแสดงโนราโรงครู คือ ปัจจุบันเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง ระบบความคิด ความเชื่อของคนเปลี่ยนแปลงตามอดีตโนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้นิยมแสดงช่วงเดือน 6 เดือน 7 เดือน 9 และเดือน 11 ตามจันทรคติ ปัจจุบันเริ่มปรับเปลี่ยนการแสดงตั้งแต่เดือน 4 เดือน 6 เดือน 7 เดือน 8 (เล่นเฉพาะช่วงเวลาข้างขึ้นก่อนเข้าพรรษา) เดือน 9 เดือน 11 ส่วนเดือนที่ไม่ได้มีการแสดงคือ เดือน 1 เดือน 2 (เข้าสู่ฤดูน้ำหลาก) เดือน 3 (เชื่อว่า ครูหมอโนราโรงครูมีความสุขสนุกสนานกับการเล่นครื้นชายทะเล)  เดือน 5 เดือน 10 (เชื่อว่าครูหมอโนราโรงครูร่วมสังเวยเครื่องเซ่นสังเวยตามประเพณี) และเดือน 12 (เข้าสู่ช่วงฤดูฝน)  เวลาการแสดง 3 คืน 2 วัน อัตราค่าจ้างแสดงโนราโรงครูแต่ละคณะจะไม่เท่ากันประมาณ 5 หมื่นถึง 8 หมื่นบาท

           บริบทพื้นที่โนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้ จากการสัมภาษณ์ศิลปินพื้นบ้านโดยภาพรวมคือ ค่านิยมคนดูโนรามีจำนวนน้อย และมักจะห้ามบุตรหลานและญาติๆ ว่าอย่าบ่นบานอะไรเกี่ยวกับโนราโรงครู เพราะกลัวว่าจะถูกครูหมอโนราดลบันดาลให้เจ็บป่วย ไม่สบาย และเกิดภัยต่าง ๆ แต่ที่โนราโรงครูยังสืบทอดต่อไปด้วยเหตุที่ครอบครัวที่มีเชื้อสายครูหมอโนรา ยังมีความเชื่อ เคารพ และพร้อมจะสืบทอดยังมีอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่โนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้ ยังมีการสืบทอดและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีการแสดงโนราโรงครูอย่างเข็มข้นมาได้จนถึงปัจจุบัน โดย จุดศูนย์กลางโนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้  คือ จังหวัดปัตตานี  ส่วนจังหวัดยะลา และนราธิวาส มีอยู่จำนวนน้อยและจะเป็นคณะลูกศิษย์ที่ได้รับการสืบทอดจากคณะโนราโรงครูจังหวัดปัตตานี

          ส่วนบริบทด้านการแสดงโนราโรงครูในสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งจังหวัดปัตตานีเป็นจุดศูนย์กลางยังมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปบ้างตามเขตแดนทางภูมิศาสตร์ เช่น โนราโรงครูฝั่งตะวันตก ได้แก่ อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอนาเกตุ บางคณะจะได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้จากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลาร่วม 200 ปี และบางคณะบรรพบุรุษและผู้เป็นอาจารย์มาจากคณะโนราโรงครูจากภาคใต้ตอนบท คือ สงขลา พัทลุง ก็จะยึดรูปแบบการแสดงตามแบบฉบับที่ได้รับการสืบทอดและโนราโรงครูฝั่งตะวันออก ได้แก่อำเภอมายอ อำเภอแม่ลาน อำเภอยะหริ่ง อำเภอยะรัง อำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น ส่วนใหญ่จะได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่ร่นมาเป็นเวลาร่วม 200 ปีเช่นเดียวกัน แต่มีจะลักษณะการร่ายรำผสมผสานและบูรณาการกับศิลปะกาแสดงมะโย่ง เพราะคณะโนราโรงครูฝั่งตะวันออก ส่วนใหญ่จะผ่านการแสดงร่วมกับโนราควน (แขก) และในอดีตลูกคู่ตีเครื่องดนตรีบางคนมาจากโนราควน (แขก) ซึ่งเป็นชาวมลายูมุสลิม แต่ปัจจุบันลูกคู่ตีเครื่องมุสลิมเริ่มเลื่อนหายไป เพราะลูกคู่มุสลิมบางคนได้ไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย กลับมาจะเลิกเล่นลูกคู่ตีเครื่องดนตรี ส่วนลูกคู่มุสลิมที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่กล้ามาร่วมเล่นกับคณะโนราโรงครูอย่างเช่นเคย เพราะด้วยอิทธิพลจากการนับถือศาสนา

       ดังนั้น ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด 19 โนราโรงครูใน 3 จังหวัดยังพอแสดงอยู่ได้ ส่วนใหญ่จังหวัดปัตตานีจะแสดงโนราโรงครูแบบพิธีกรรม  ส่วนการแสดงโชว์ ยังมีน้อย แถบจังหวัดนราธิวาสจะรับงานโชว์ รำแก้บน เป็นส่วนมากงานโนราโรงครูแบบพิธีกรรมมีน้อย เพราะกลุ่มเป้าหมายความนิยมแตกต่างกัน และสถานภาพครอบครัวที่มีเชื้อสายครูหมอโนราโรงครูกับคณะโนราโรงครูจะมีความสัพพันธ์กันมาตั้งแต่อดีตบรรพบุรุษรับโนราโรงครูคณะไหนจะรับคณะนั้นต่อๆกันมา ไม่ค่อยจะเปลี่ยนใจไปรับโนราโรงครูคณะอื่นๆ ดังนั้นคณะโรงครูสามารถจัดทำตารางการแสดงประจำปีได้ ซึ่งการแสดงโนราโรงครูประปียังมีความเข้มแข็งและสืบทอดต่อไปได้ บรรดาเหล่าลูกคู่ตีเครื่องและลูกคู่นางรำมีรายได้เสริมมาเป็นค่าครองชีพของครัวเรือน ส่วนการแสดงตามเทศกาลและกิจกรรมของรัฐค่อนข้างมาก เช่น  สำนักงานจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรม งานมหกรรม งานบุญ งานกฐิน งานวัดแม้ว่าค่าตอบแทนไม่สูง แต่จะได้ฝึกฝนลูกคู่และเหล่านางรำไปด้วย

……………………………………………………………………

ภาวะการเข้าทรง

เรียบเรียงบทความโดย

ประสิทธิ์ รัตนมณี นักวิจัย สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

บทความ: วันอาสาฬหบูชา

                วันอาสาฬหบูชา (Asarnha Bucha Day) ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่ เบญจวัคคีย์ทั้ง 5 ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม

              เมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วย
การทดลองต่างๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง 6 ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ 4 ประการ ในวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศก 44 ปี ที่เรียกว่า
การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช 5 รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน 8

                 ใจความสำคัญของปฐมเทศนา ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ

                 ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

                      1. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

                    2. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

                 ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่

                    1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง

                    2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม

                    3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต

                    4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต

                    5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต

                    6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี

                    7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด

                    8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

                 ข. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่

                    1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

                    2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ

                    3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

                    4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น

          ผลจากการแสดงปฐมเทศนา เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ

          ความหมายของอาสาฬหบูชา “อาสาฬหบูชา” (อา-สาน-หะ-บู-ชา/อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา) ประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห (เดือน 8 ทางจันทรคติ) กับบูชา (การบูชา) เมื่อรวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 หรือเรียกให้เต็มว่า อาสาฬหบูรณมีบูชา โดยสรุป วันอาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญ เดือน 8 หรือ การบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในวันเพ็ญ เดือน 8 คือ

                    1. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา

                    2. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา

                    3. เป็นวันที่เกิดอริยสงฆ์ครั้งแรกคือการที่ท่านโกณฑัญญะรู้แจ้งเห็นธรรม เป็นพระโสดาบัน จัดเป็นอริยบุคคลท่านแรกในอริยสงฆ์

                    4. เป็นวันที่เกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ การที่ท่านโกณฑัญญะขอบรรพชาและ ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลังจากฟังปฐมเทศนาและบรรลุธรรมแล้ว

                    5. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงได้ปฐมสาวกคือ การที่ท่านโกณฑัญญะนั้น ได้บรรลุธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ จึงเป็นสาวกรูปแรกของพระพุทธเจ้า

              เมื่อเปรียบกับวันสำคัญอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา บางทีเรียกวันอาสาฬหบูชา นี้ว่า วันพระสงฆ์ (คือวันที่เริ่มเกิดมีพระสงฆ์)

              พิธีกรรมที่กระทำในวันนี้ โดยทั่วไป คือ ทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) และสวดมนต์ ดังนั้นในวันนี้จึงถือว่า พุทธศาสนิกชนควรได้รับประโยชน์ ที่เป็นสาระสำคัญจากอาสาฬหบูชา กล่าวคือ ควรทบทวนระลึกเตือนใจสำรวจตนว่า ชีวิตเราได้เจริญงอกงามขึ้นด้วยความเป็นอยู่อย่างผู้รู้เท่าทันโลกและชีวิตนี้บ้างแล้วเพียงใด เรายังดำเนินชีวิตอยู่อย่างลุ่มหลงมัวเมา หรือมีจิตใจอิสระปลอดโปร่งผ่องใสบ้างแล้วเพียงใด

………………………………………………………………………………………………………………….

 เรียบเรียง: อ้อมใจ วงษ์มณฑา

อกสารอ้างอิง : เสฐียรโกเศศ และ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต).  2541.  ความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญไทย. 39-59

สถานการณ์โนราควน (แขก) สามจังหวัดชายแดนใต้ในปัจจุบัน

        ความเป็นมาเกี่ยวกับ โนราควน (แขก) ซึ่งภาษามลายูเรียกว่า “เมอนอรอ” ผู้แสดงสามารถเจรจาบทได้ทั้งภาษาไทยและภาษามลายู และขับร้องบทเป็นภาษามลายู จึงเรียกว่า “โนราแขก” มีประวัติการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลาประมาณร่วม200 กว่าปีในอดีตเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ มีลักษณะการผสมผสานระหว่างโนราโรงครู และมะโย่งของชาวมลายูมุสลิมจากการสำรวจและสัมภาษณ์ศิลปินโนราควน (แขก) เบื้องต้น สรุปได้ว่า ประวัติและที่มาของโนราควน (แขก) ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เนื่องมาจากในอดีตได้มีคณะโนราไทยได้เผยแพร่เข้ามาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้  ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่ของชุมชนชาวพุทธ ส่วนชุมชนมุสลิมนิยมดูศิลปะการแสดงมะโย่ง จึงได้ประยุกต์โนราไทยให้มีรูปแบบการแสดงด้วยสองภาษาเพื่อต้องการให้มีมุสลิมได้ร่วมแสดงและสามารถดูและฟังรู้เรื่อง

          คำว่า โนราควน เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามพื้นที่ของคณะโนราควนยังรับความนิยมและมีชื่อเสียงอย่างมากในสมัยนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลควน อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี แต่ช่วงเวลาการแสดงจะต้องพูดสองภาษา เช่น ช่วงเวลาตัวพระ คือ โนรา พูดกับ ตัวนางรำ หรือเวลาจับบทบางบท ต้องขับเป็นภาษามลายู บางพื้นที่จึงเรียกว่า โนราแขก หรือบางพื้นที่เรียกว่า โนราแขกสองภาษา คือ ภาษาไทยกับภาษามลายู ปัจจุบันจึงเรียกได้ 3 ชื่อด้วยกัน คือ โนราควน โนราแขก และโนราแขกสองภาษา   

       สาเหตุ ฤดูกาล และพิธีการเล่นโนราควน (แขก) คือโนราควนจะมีตายายประจำตระกูลทั้งเชื้อสายมลายูพุทธและเชื้อสายมลายูมุสลิมในอดีตจะเล่นทั้งครอบครัวชาวพุทธและมุสลิมที่มีเชื้อสายโนราควน (แขก) แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเล่นเฉพาะครอบครัวของชาวไทยพุทธซึ่งจะมีนานๆ ครั้งที่เจ้าภาพมลายูมุสลิมจะรับโนราควน (แขก) ไปเล่น แต่จะใช้บ้านของคนพุทธที่เป็นเพื่อนสนิทในการสร้างโรงพิธี เพราะเนื่องจากในชุมชนมุสลิมจะไม่ค่อยยอมรับศิลปะการแสดงโนราควน (แขก) สาเหตุการเล่นโนราควน (แขก) หลักๆ คือ เนื่องจากลูกหลานเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไร้สาเหตุจึงได้บ่นบานต่อตายายโนราควน (แขก) ลูกหลานจึงหายเป็นปกติจึงได้ยกโรงพิธีกรรมตามพันธสัญญากับตายายโนราควน (แขก)  ช่วงสถานการณ์ปกติในอดีตจะรับงานแสดงแบบพิธีกรรมประมาณ 20 โรงต่อปี แต่ปัจจุบันจะรับงานแสดงประมาณ 2-3 โรงต่อปี ช่วงระยะเวลาการเล่น 3 คืน 3 วัน จะอยู่ในช่วงเดือน 4 เดือน 6 เดือน 7 เดือน 9 และเดือน 11 คล้ายกับฤดูกาลแสดงโนราโรงครู

          บริบทพื้นที่การแสดงโนราควนในอดีตมีความเชื่อว่า บรรพบุรุษมีทั้งเชื้อสายทั้งมลายูพุทธและมลายูมุสลิมที่ได้สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และตายายที่ลงมาประทับทรงมีทั้งตายายโนราควน มะโย่ง สิละ โนราโรงครู และตายายหนังตะลุง ดังนั้นเวลาแสดง โนราควน (แขก) มีการโหมโรง 5 แบบ คือ โหมโรงตีเครื่องแบบโนราควน (แขก) โหมโรงตีเครื่องแบบมะโย่ง ตีเครื่องแบบหนังตะลุง โหมโรงตีเครื่องแบบโนราไทย และโหมโรงตีเครื่องแบสิละ ถ้าตายายฝ่ายมุสลิมได้ลงมาประทับทรงด้วยการเล่นสิละบ้าง มะโย่งบ้าง หนังตะลุงบ้าง นอกจากนั้นบรรดาญาติๆ บางคนได้แต่งงานและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จึงทำให้การเชื่อมต่อสายสัมพันธ์กับการแสดงโนราควน (แขก) ได้เป็นอย่างดีคณะโนราควนจะมีบรรดาลูกคู่ทั้งตีเครื่องดนตรีและเหล่านางรำที่เป็นทั้งมลายูพุทธและมลายูมสิลมร่วมเล่นด้วยกัน นอกจากนั้นบรรดาลูกคู่ตีเครื่องดนตรี เหล่านางรำโนราควนกับศิลปะการแสดงมะโย่งสามารถเชิญมาร่วมเล่นกันได้ จึงมีบ่อยครั้งที่คณะโนราควน และคณะมะโย่งได้เชิญบรรดาลูกคู่และนางรำมาแสดงร่วมกัน  เพราะเครื่องดนตรีจะมีลักษณะคล้ายกัน และเครื่องดนตรีที่สำคัญคือ ซอรือบับ ปี่ชวา ต้องใช้ลูกคู่ที่เป็นมลายูมุสลิม ในอดีตไม่มีปัญหาเพราะมีลูกคู่มุสลิมมาร่วมแสดงหลายคน แต่ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาเพราะลูกคู่โนราควนและมะโย่งเริ่มเข้าสู่วัยชรา บางครั้งจึงต้องอาศัยลูกคู่จากหนังตะลุงวายังกูเละ

         ก่อนสถานการณ์โควิด 19 โนราควน (แขก) การเล่นพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมปฏิบัติ3 วัน 3 คืน เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ จึงได้มีการประยุกต์ด้วยรูปแบบการแสดงโชว์ซึ่งจะเน้นเอกลักษณ์ของโนราควน (แขก) ในการนำเสนอการเล่น 2 ภาษา เช่น การแสดงโชว์ 1 ชั่วโมง การแสดงโชว์ครึ่งวัน การเล่นแก้บ่น 1 คืน เพื่อการอนุรักษ์และสืบทอดโนราควน (แขก) ต่อไปได้ 

          แนวทางการดำรงอยู่และการสืบทอดทายาท  โนราควน (แขก)  คือ การสร้างศูนย์การเรียนรู้โนราควน (แขก)  และเปิดสอนการร่ายรำโนราแบบผสมผสาน  โดยจะสอนการร่ายรำแบบโนราไทย และการร่ายรำมโนราควน ซึ่งสามารถประยุกต์ผสมผสานให้เข้ากันได้  และค่อยอบรมและสอนการขับบทเป็นภาษามลายู  เพราะ เอกลักษณ์ของการแสดงมโนราห์ควนต้องพูดสองภาษาซึ่งการร่ายรำแบบโนราควน ไม่ยาก แต่จะยากที่การพูด การหยอกล้อ การโต้ตอบ และขับบทกลอนปันตุงด้วยภาษามลายู การสร้างศูนย์ฯ ขึ้นมาเพื่อต้องการสานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษที่ได้ฝากให้ลูกหลานได้ช่วยกันสืบทอดต่อการแสดงมโนราห์ควน ให้เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของหมู่บ้าน และเผยแพร่ให้คนได้รู้จักว่าโนราควนยังมีตัวตนในพื้นที่และจะสืบทอดต่อไปในอนาคต  

เรียบเรียงบทความโดย

ประสิทธิ์ รัตนมณี นักวิจัย สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี