เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกโดยเดินทัพเข้าไทย ทั้งทางบกและทางทะเลด้านอ่าวไทย 7 จังหวัดภาคใต้ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตลอดชายทะเลด้านตะวันตกที่กองบินน้อยอ่าวมะนาวประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากที่สุด แผนการรบของญี่ปุ่นเดิมจะยกพลขึ้นบกที่สงขลาและปัตตานี รวมทั้งโกตาบารูในเขตมลายูแล้วรวมกำลังกันบุกมลายูของอังกฤษลงไปถึงสิงคโปร์ อีกส่วนหนึ่งจะเข้ายึดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพรและประจวบคีรีขันธ์เพื่อเคลื่อนต่อเข้าไปยึดวิคตอเรียปอยท์ เมืองมะริดและเมืองทวายของพม่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดแคบที่สุดญี่ปุ่นเกรงว่าถ้าอังกฤษเข้ามายึดได้ก่อนก็จะเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมลงใต้ โดยเฉพาะทางรถไฟซึ่งจะเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงพลผ่านไทยลงไปแหลมมลายู ญี่ปุ่นต้องคุมเส้นทางนี้ไว้ให้ได้ จึงมาหาข้อมูลล่วงหน้าไว้ ไม่ว่าในทะเลหรือป่าเขา ก่อนถึงกำหนดการยกพลขึ้นบกมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลาและปัตตานีกันมาก โดยเฉพาะที่ประจวบฯ ญี่ปุ่นออกไปลอยเรือตกปลาในอ่าวและด้านหลังเขาล้อมหมวก หน้ากองบินน้อยที่ 5 ส่วนเส้นทางบ้านหนองหิน-ด่านสิงขรทางเข้าพม่า พ่อค้าญี่ปุ่นก็เข้าไปซื้อไม้จันทน์หอมซึ่งมีมากในย่านนั้น จนผิดสังเกต ที่สำคัญกองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินรบซึ่งซื้อจากญี่ปุ่นไปฝึกที่นั่น มีนายทหารญี่ปุ่นยศนาวาตรี 1 คน เรือเอกอีก 3 คนไปเป็นครูฝึกและลงเล่นน้ำทะเลทุกวัน เมื่อทหารไปตีอวนจับปลา ครูฝึกญี่ปุ่นก็ขอร่วมสนุกด้วยเสมอ

     กลางดึกของคืนวันที่ 7 เวลา 02.00 น. มีเรือลักษณะเป็นเรือสินค้าเข้ามาจอดที่ด้านหลังเขาล้อมหมวก ลำเลียงทหารลงเรือท้องแบนเปิดหัว 7 ลำขึ้นบก 4 ลำ ไปขึ้นอ่าวประจวบอีก 3 ลำ ไปขึ้นอ่าวมะนาว เวลา 03.00 น. กองกำลังทหารญี่ปุ่นระลอกแรกขึ้นถึงฝั่ง ส่วนหนึ่งเคลื่อนไปล้อมสถานีตำรวจ เวลา 04.00 น.ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งชูกระดาษในมือแล้วเดินขึ้นไปบนสถานีตำรวจส่งภาษาญี่ปุ่นกับพลตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ แต่ตำรวจไทยไม่รู้จักทหารญี่ปุ่นกลับคิดว่าเป็นมลายูจึงร้องห้ามไม่ให้ขึ้น ทหารญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็เดินขึ้นบันไดไม่ยอมหยุด พลตำรวจถือปืนพระราม 6 ติดดาบปลายปืนยืนคุมบันไดอยู่ จึงแทงพุงเอาด้วยดาบปลายปืนจนทหารญี่ปุ่นล้มลงตกบันได ทหารญี่ปุ่นที่ศาลากลางฝั่งตรงข้ามจึงระดมยิงมาที่โรงพัก ตำรวจที่นอนอยู่บนสถานีประมาณ 20 คนคว้าปืนยิงสู้โต้ตอบกันอยู่ประมาณ 20 นาที ตำรวจไทยก็ยังไม่ยอมถอยให้ทหารญี่ปุ่น ฝ่ายญี่ปุ่นจึงใช้ระเบิดมือขว้างขึ้นไปบนโรงพัก 5 ลูกเป็นผลให้เสียงปืนฝ่ายตำรวจเงียบลงทันที ทุกคนต่างถอยลงจากโรงพัก รุ่งเช้าพบศพตำรวจ 13 ศพมีรอยทั้งถูกยิง ถูกแทง ถูกฟัน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นเก็บศพเรียบร้อยไม่ให้ฝ่ายไทยรู้ กำลังทหารญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งเคลื่อนไปตามริมหาดผ่านหมู่บ้านชาวประมงมุ่งสู่กองบินน้อยที่ 5 รังปืนกลของกองบินอยู่ตรงไหนบ้างญี่ปุ่นรู้หมด จึงคืบคลานเข้าไปจัดการกับทหารที่เฝ้ารังปืนอยู่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งฟันแทงจนยึดรังปืนกลได้หมด แล้วเข้าคุมจุดจอดเครื่องบินและบ้านพักของนักบินที่อยู่เวร เสียงปืนที่สถานีตำรวจดังไปถึงกองบินน้อยที่ 5 เรืออากาศเอกเดหลี สงวนแก้ว นายทหารเวรอำนวยการจึงสั่งให้ทหารเข้าไปหาข่าวในเมือง ได้ทราบว่าญี่ปุ่นยึดสถานีตำรวจ สถานีรถไฟไว้ได้ ขณะเดียวกันเรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม ผู้บังคับการกองทหารราบอากาศก็เข้ารายงานต่อนาวาอากาศตรีหม่อมหลวงประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 ว่าขณะนำทหารออกไปลากอวนจับปลาในอ่าวมะนาว ได้เห็นเรือท้องแบนลำเลียงพลเข้ามาทางปากอ่าว ผู้บังคับกองบินจึงให้เป่าแตรสัญญาณเหตุสำคัญ เข้าประจำที่ตามแผนที่วางไว้ ทางด้านกองรักษาการณ์ที่มีกำลังพลเพียง 20 คน มีจ่าอากาศเอกนิกร พวงไพโรจน์ เป็นผู้บังคับกองรับผิดชอบป้องกันอ่าวประจวบ สั่งทหารกระจายกำลังและรอรับพลประจำปืนที่อยู่ข้างนอกซึ่งอาจถอนกำลังเข้ามา โดยไม่รู้ว่าเสียชีวิตหมดแล้ว ระหว่างนั้น ร.ต.ท.สงบ พรหมานนท์ ซึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นที่โรงพัก มีบาดแผลทั้งถูกยิงและแทงก็เล็ดลอดมาแจ้งข่าวให้ทางกองบินทราบและขอกำลังไปช่วย พอส่งข่าวเสร็จก็ขาดใจตาย เมื่อได้รับสัญญาณแตรบอกเหตุแล้ว เครื่องบินทุกลำซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ในสนามก็ติดเครื่องยนต์ เรืออากาศตรีแม้น ประสงค์ดี นำเครื่องบินขับไล่แบบฮอล์ค 3 ที่ไทยสร้างเองขึ้นได้เป็นลำแรกพร้อมลูกระเบิดขนาด 40 กิโลกรัม 4 ลูก เห็นเงาตะคุ่มของเรือลำเลียงญี่ปุ่นอยู่ในอ่าวจึงหย่อนระเบิดเข้าใส่แต่ไม่ถูกเลยพาเครื่องจะไปลงที่สนามบินต้นสำโรงนครปฐม แต่ไปได้แค่อ่าวชะอำเครื่องก็ขัดข้องเลยต้องลงที่ชายหาด บนเขาล้อมหมวกที่ยื่นลงไปในอ่าวมะนาวมีรังปืนกลตั้งอยู่ ญี่ปุ่นจึงใช้ปืนเรือถล่มจนราบและส่งทหารเข้าคุมรันเวย์ไม่ให้เครื่องบินขึ้น รวมทั้งใช้ปืนกลเรือยิงกราดไว้ไม่ให้เครื่องบินขึ้นได้ เมื่อพันจ่าอากาศเอกพรม ชูวงศ์ นำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์เป็นลำที่ 2 จึงถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่ยิงฐานล้อหัก เครื่องบินเสียหลักไถลลงข้างรันเวย์ นักบินกระโดดลงจากเครื่อง ถูกแทงด้วยดาบปลายปืนเสียชีวิต เครื่องที่ 3 มีจ่าอากาศเอกจำเนียร วารียะกุล เป็นนักบินกับเครื่องที่ 4 มี จ่าอากาศเอกสถิต โรหิตโยธิน เป็นนักบิน ขณะนำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์จะขึ้นบินก็ถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่รุมยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ เครื่องที่ 5 ขณะที่พันจ่าอากาศเอกกาบ ขำศิริ นักบิน กำลังรอให้พันจ่าอากาศโทพร เฉลิมสุข ถอดลูกระเบิดขนาด 50 กิโลกรัมออกเพื่อบรรจุลูกกระสุนปืนกลแทน ก็ถูกทหารญี่ปุ่นบุกเข้าทำร้าย พ.จ.อ.กาบ ถูกยิงที่เท้า แต่ทั้ง 2 ก็สู้กับซามูไรและหนีรอดไปได้ ส่วนเรืออากาศโทสวน สุขเสริม ผู้บังคับหมวดบิน ได้นำเครื่องบินโจมตีแบบคอร์แซร์ที่ไทยสร้างเองจะขึ้น โดยมีพลทหารสมพงษ์ แนวบันทัด เป็นพลปืนหลัง ขณะเตรียมขึ้นก็ถูกญี่ปุ่นยิงจนเครื่องบินชำรุด ทั้ง 2 จึงกระโดดลงจากเครื่องและถูกทหารญี่ปุ่นรุมทำร้าย เรืออากาศโทสวนถูกแทงที่สะโพกบาดเจ็บสาหัส ยศสุดท้ายเป็นพลอากาศโท ส่วนพลทหารสมพงษ์ถูกซามูไรฟันที่ต้นแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญในฐานประกอบวีรกรรมช่วยชีวิตผู้บังคับบัญชา ยศสุดท้ายเป็นพันจ่าอากาศเอก ด้านกองรักษาการณ์ที่วางแนวป้องกันกองบินทางด้านอ่าวประจวบ รอคอยทหารที่ประจำปืนกลด้านนอกจะถอยกลับมา เวลา 05.00 น. เห็นเงาตะคุ่มกำลังคืบคลานเข้ามายังที่ตั้งกองรักษาการณ์ ฟังเสียงพูดพอรู้ว่าเป็นญี่ปุ่นแน่จึงยิงเข้าใส่ เวลา 06.00 น. เสียงปืนฝ่ายไทยเบาบางลง ผู้บังคับกองบินจึงส่งทหารไปเสริมก็พบว่าญี่ปุ่นขุดสนามเพลาะปักธงญี่ปุ่นไว้ปากหลุม แต่แม้จะเสริมกำลังไปช่วยแล้ว แนวรบด้านนี้ฝ่ายไทยก็ไม่อาจทานทหารญี่ปุ่นไว้ได้ เสียชีวิตเกือบหมด รอดตายเพียง จ.อ.อ.นิกร พวงไพโรจน์ ผู้บังคับกองรักษาการณ์และพลทหารจิต อ่ำพันธ์ พนักงานวิทยุ ทางด้านอ่าวมะนาว เรือระบายพลของญี่ปุ่นยังวิ่งเข้าเกยหาดระลอกแล้วระลอกเล่า เรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม คุมกำลังราบอากาศราว 10 คนคอยอยู่ด้านนี้ได้ถอดปืนกลประจำเครื่องบินออกมาใช้ เพราะเครื่องบินไม่สามารถบินขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่นคิดไม่ถึง จึงขึ้นบกกันมาอย่างลอยนวล ขณะนั้นอยู่ในช่วงน้ำลงหาดทรายจึงกว้าง ทหารญี่ปุ่นที่ลุยจากเรือลำเลียงขึ้นมาตกอยู่ในสภาพเป็นเป้าอย่างชัดเจน ปรากฏว่าญี่ปุ่นตายเกลื่อน หาดมะนาว รวมทั้งนายทหารระดับผู้บังคับกองพันด้วย เวลา 07.00 น. ทหารญี่ปุ่นสามารถยึดแนวโรงเก็บเครื่องบินและกองรักษาการณ์ไว้ได้ ผู้บังคับกองบินจึงสั่งเผาอาคารคอนกรีต 2 ชั้นยาว 40 เมตร ซึ่งเป็นกองบังคับการกองบิน สโมสรนายทหาร คลังอุปกรณ์การบินและห้องพักนักบินกับที่พักกองราบอากาศ ส่วนหมวดเสนารักษ์เมื่อเห็นว่าอาคารบังคับการกองบินไหม้ ก็เลยสั่งเผาอาคารของหมวดและห้องพักคนไข้ด้วย พากันอพยพไปหลบอยู่ที่เชิงเขาล้อมหมวก หุงหาอาหารส่งไปช่วยแนวหน้า ทั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่ของคนไทยในเวลารบ ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2484 ให้คนไทยทุกคนปฏิบัติในทุกๆ ทางที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยและขัดต่อประโยชน์ของประเทศที่ทำการรบกับไทย ต้องต่อสู้ข้าศึกทุกวิถีทาง ถ้าไม่สามารถต่อต้านไว้ได้ก็ให้ทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของตนเอง ของผู้อื่นหรือของทางราชการที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้าศึก ทหารญี่ปุ่นส่งกำลังหนุนเนื่องจะเข้ายึดกองบินน้อยที่ 5 ให้ได้ แต่ตลอดทั้งวันที่ 8 ก็ไม่สามารถยึดได้ ถูกต่อต้านอย่างเหนียวแน่น คืนวันที่ 8 ต่อวันที่ 9 เกิดฝนตกอย่างหนักญี่ปุ่นยังยิงเข้ามาอย่างประปราย ฝ่ายไทยต้องการประหยัดกระสุนเลยเอากระสุนซ้อมยิงมายิงขู่ญี่ปุ่น เก็บกระสุนจริงไว้

ทหารกองบินที่ 5 ขณะเคลื่อนกำลังสู้กับทหารญี่ปุ่น

     เช้าวันที่ 9 เวลา 08.00 น. ขณะสถานการณ์คับขัน น.ต.ม.ล.ประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยสั่งให้ทหารทุกคนตะโกนขึ้นว่าทหารเรือมาช่วยแล้วแล้วไชโยโห่ร้องกันอย่างดีใจ บรรดาครอบครัวทหารที่ไปหลบอยู่เชิงเขาล้อมหมวกได้ยินก็ไชโยตาม ซึ่งก็ได้ผลพอควร ทหารญี่ปุ่นที่ล้ำเข้ามาพากันถอยกรูด ต่อมานายหยอย ทิพย์นุกุล บุรุษไปรษณีย์นำโทรเลขจาก พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้หยุดยิง แต่ผู้บังคับกองบินไม่ยอมเชื่อเกรงว่าจะเป็นกลลวงของญี่ปุ่น จนกระทั่ง 10.00 น. ผู้บังคับการกองบินได้ปรึกษากับบรรดานายทหารเห็นว่าไม่มีทางจะสู้กับกองทัพญี่ปุ่นได้ เพราะกำลังน้อยกว่ามากและยังถูกล้อมอยู่ในที่จำกัด รอความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่เห็นวี่แวว จึงสั่งให้นายทหารเหลือกระสุนสำหรับตัวเองไว้คนละนัด และให้เผาคลังน้ำมันที่ตั้งอยู่เชิงเขาล้อมหมวกด้านอ่าวประจวบเสีย เวลา 12.00 น. นายจรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ปลัดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมการจังหวัดและอำเภอ มีนายตำรวจติดตามอีก 7 คน เดินทางด้วยรถ 6 ล้อของกรมทางติดธงสีขาวหน้ารถ นำโทรเลขคำสั่งหยุดยิงของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมามอบให้ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 แจ้งว่ารัฐบาลได้ยินยอมให้กองทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยแล้วก็พบทหารไทยราว 10 คน กอดคอกันร้องไห้ เวลา 14.00 น. ได้เรียกรวมพลทั้งไทยและญี่ปุ่นที่ลานบินเพื่อปรับความเข้าใจและแบ่งเขตกันป้องกันการกระทบกระทั่ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็สำรวจความเสียหายของตน ทหารญี่ปุ่นงงงันไปตามกันที่เห็นฝ่ายต่อต้านมีเพียงไม่กี่คน ปรากฏว่าด้านฝ่ายไทย ทหารเสียชีวิต 38 คนเป็นนายทหารชั้นประทวนและพลทหาร นายตำรวจเสียชีวิต 1 คน ลูกเสือจากโรงเรียนประจวบวิทยาลัยที่รวมกลุ่มกันไปช่วยลำเลียงอาหารและกระสุนให้ทหารเสียชีวิต 1 คน ครอบครัวทหารเสียชีวิต 2 คน เป็นสตรีคนหนึ่งคือภรรยาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ซึ่งสามีนำเครื่องบินมาประจำที่สนามบินโคกสำโรงนครปฐม ต่อมาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ ก็คือจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนความเสียหายฝ่ายญี่ปุ่น พลอากาศตรีปราโมทย์ ภูติพันธ์ อดีตผู้บังคับกองทหารราบ กองบินน้อยที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้ให้ข้อมูลกับกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด วันที่ 25 กรกฎาคม 2533 เพื่อบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ไว้ว่า
     “การสูญเสียของฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบชัด เห็นแต่เพียงว่าญี่ปุ่นได้เก็บศพและรวบรวมทหารบาดเจ็บวางเรียงไว้ในโรงเก็บเครื่องบินเต็มไปหมด สำหรับศพทหารญี่ปุ่นได้จัดการเผาในหลุมที่เคยใช้เป็นหลุมทิ้งชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งมีการเผาตลอดทั้งคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ประมาณว่าคงมีจำนวนไม่น้อยกว่า 200 ศพ ส่วนทหารบาดเจ็บมีจำนวนมากกว่า 100 คน ที่ยืนยันได้คือมีนายทหารญี่ปุ่นชั้นผู้บังคับกองพันเสียชีวิตที่ริมหาดอ่าวมะนาวขณะยกพลขึ้นบกด้วย 1 คน นายทหารอื่นอย่างน้อย 3 คน ทั้งนี้มีผู้ตัดเครื่องหมายยศจากศพทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

     วีรกรรมอ่าวมะนาวจึงเป็นเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์แสดงถึงธาตุแท้ของความเป็นคนไทย ที่รักชาติมากกว่าชีวิตของตัวเอง แม้ตัวจะตายก็ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นไทย เราจึงมีแผ่นดินที่อยู่อาศัยกันอย่างมั่นคงผาสุกมาจนวันนี้

เรียบเรียงโดย:

อ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ
สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

 

เอกสารอ้างอิง

เรื่องเล่าจากทหารไทยบนสมรภูมิรบ ครั้งญี่ปุ่นบุกมลายู-สิงคโปร์

Japanese invasion of Thailand

ญี่ปุ่น กับการจารกรรมในเมืองนครศรีธรรมราช


อบคุณภาพข้อมูล: 

https://www.hatyaifocus.com/บทความ/1576-เรื่องราวหาดใหญ่-ย้อนเรื่องวันที่%2B8%2Bธันวาคม%2B2484%2Bเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทย%2Bครั้นเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกประเทศไทย%2Bรวมถึงอ่าวไทยทางภาคใต้/

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4665#google_vignette

https://www.gqthailand.com/culture/movie/article/8-dec-thai-japan

Recommended Posts