ขอเชิญชวนอ่านบทความวิจัย ที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง “การอนุรักษ์ภูมิปัญญาการสักยันต์ ด้านพิธีกรรมและความเชื่อ กรณีศึกษาเครือข่ายสำนักสักยันต์อาจารย์พันธ์ พุฒยอด อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่อง “การอนุรักษ์ภูมิปัญญาการสักยันต์ ด้านพิธีกรรมและความเชื่อ กรณีศึกษาเครือข่ายสำนักสักยันต์อาจารย์พันธ์ พุฒยอด อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี”

.

ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม

โรงเรียนพระปริยัติธรรมสามัญวัดสระเรียง ปีที่ ปีที่ 9 ฉบับที่ 8 (2025): สิงหาคม 2568

ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSC/article/view/287040/190799

.

ผู้เขียน:

– นางอ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

– นายประสิทธิ์ รัตนมณี นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

– ผศ.ดร.อารีย์ ธรรมโคร่ง สาขาวิชาศิลปะการคิดเพื่อการพัฒนามนุษย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.อ.

.

Keyword:  วัฒนธรรม, การสักยันต์, พิธีกรรมความเชื่อ, อาจารย์พันธ์ พุฒยอด, Culture, Tattooing Rituals and Beliefs Ajarn Phan Phut Yot.

.

#การสักยันต์ #อาจารย์พันธ์พุฒยอด  #บทความวิจัย #สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา #TCI 

ไก่ฆอและ (Ayam Golek): อาหารแท้ของ จ.ปัตตานี คุณค่าและสถานภาพปัจจุบัน

         ไก่ฆอและ หรือ Ayam Golek มาจากภาษามลายูถิ่น คำว่า “Golek” ในภาษามลายู หรือ “ฆอและ” แปลว่า กลิ้ง ดังนั้นไก่ฆอและจึงหมายถึง ไก่ที่ชุบแกงหรือคลุกเคล้าเครื่องแกง แล้วนำไปปิ้ง พลิกไปพลิกมา (กลิ้ง) เป็นอาหารแท้ของปัตตานี (Authentic) ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี เกิดจากการสั่งสมถ่ายทอดและสืบทอดความรู้ภูมิปัญญามาอย่างต่อเนื่อง โดยกรรมวิธีการปรุงไก่ฆอและของจังหวัดปัตตานี ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษยาวนานกว่า 100 ปี

         วิธีการปรุงน้ำแกง พริกแห้งแช่น้ำ หอมแดง กระเทียมปอกเปลือกรวมทั้งขิงโขลกด้วยกันหรือบดให้ละเอียดคลุกลงในน้ำกะทิที่ตั้งไฟ ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง จนกะทิแตกมัน ปรุงรสด้วยเกลือ มะขามเปียก ให้มีรสชาติกลมกล่อมหวานแตะลิ้น ส่วนวิธีการย่างไก่ นำไก่ที่ล้างสะอาดแล้วมาหนีบกับไม้ไผ่มัดด้วยใบตอง แล้วนำไปย่างโดยใช้ถ่านจากกะลามะพร้าว เป็นวิธีการย่างแบบดั้งเดิมเพื่อให้ไก่สุกทั่ว ย่างจนไก่สุก แล้วนำไก่มาจุ่มหรือราดน้ำแกงให้ทั่วเนื้อไก่ ครั้งที่ 1 แล้วนำไปย่างบนไฟอ่อนๆ พลิกไปพลิกมา แล้วนำมาราดน้ำแกงครั้งที่ 2 และนำไปย่าง ทำซ้ำอีกครั้ง ก็จะได้ไก่ฆอและที่ผ่านการย่าง 3 รอบ ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มเข้าถึงใน และกลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องแกง

           ไก่ฆอและเป็นอาหารที่มีกรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อน ผู้ปรุงอาหารต้องได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลานาน เป็นการสืบทอดโดยสายเลือดและฝึกตั้งแต่เด็กจากครูภูมิปัญญาที่มีความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) สู่ลูกหลาน ตลอดจนผู้ปรุงจะต้องมีความใส่ใจ ความอดทน และการรักษาสูตรดั้งเดิม “สูตรอาหารแท้” จึงนับว่าเป็นแก่นสำคัญของการสืบทอดความเป็นอัตลักษณ์ของอาหารประจำถิ่นปัตตานีดังเช่นไก่ฆอและ ซึ่งธำรงรักษาศิลปการทำอาหารและรสชาติแบบดั้งเดิมต่อไป การนำไก่ไปย่างพลิกไปพลิกมา ทำให้เครื่องแกงซึมเข้าถึงเนื้อไก่ ได้กลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องแกง และเนื้อสัมผัสไก่ ติดน้ำแกงดี ดูน่ารับประทาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หารับประทานได้ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งกรรมวิธีการปรุงไก่ฆอและที่เป็นอัตลักษณ์นี้ คือคุณค่าของมรดกภูมิปัญญา เป็นองค์ความรู้ที่ได้สืบทอดจากบรรพบุรุษ เคล็ดลับการทำไก่ฆอและเหล่านี้ไม่ได้มีตำราเขียนบอกไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง และเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงผ่านจากการสังเกตและการลงมือปฏิบัติจริงจนเกิดความชำนาญ

ประวัติความเป็นมา

จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของไก่ฆอและ พบข้อสันนิษฐานว่า ต้นกำเนิดเป็นอาหารที่ปรุงโดยชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายู เนื่องจากนิยมทำอาหารคาวที่มีส่วนประกอบของกะทิ และมักเติมเครื่องเทศและสมุนไพรในการปรุงอาหาร ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกันของชาวมุสลิมที่อาศัยทางตอนใต้ของทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย (จริยา สุขจันทรา, 2549) หากย้อนศึกษาถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21-23 ปัตตานีเคยเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินเรือของพ่อค้าจากอินเดีย จีน อาหรับ โปรตุเกส ฮลลันดา อังกฤษ ญี่ปุ่น และการค้ากับเมืองต่างๆ บนคาบสมุทรมลายู (กรมศิลปากร, 2542) ทำให้วิถีวัฒนธรรมของชาวต่างชาติโดยเฉพาะอินเดียใต้ ซึ่งเป็นต้นตำรับในการใช้เครื่องเทศ เพื่อการปรุงอาหารเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีการกินของคนปัตตานีเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดวิวัฒนาการของการปรุงอาหารประเภทเครื่องแกง ดังเช่นไก่ฆอและก็อาจเป็นได้

บางกระแสเชื่อว่า ไก่ฆอและเป็นอาหารที่มีจุดกำเนิดจากในวัง ปรุงขึ้นสำหรับเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญแขกบ้านแขกเมือง ขึ้นโต๊ะในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันสำคัญของเจ้าเมือง และในพิธีกรรมต่างๆ จนแพร่หลายสู่คนภายนอก และคนในวังมักนิยมจัดขึ้นโต๊ะรับประทานเสมอ สอดคล้องกับผู้ให้ข้อมูล นิมุสะริอ๊ะ นิแว ได้กล่าวถึงอดีตคุณทวดเคยทำไก่ฆอและให้คนในวังพิพิธภักดี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี และยังสอดคล้องกับข้อมูล ฮามีดะห์ อูเซ็ง กล่าวถึงบรรพบุรุษอดีตเคยเป็นผู้ช่วยแม่ครัวและเคยคลุกคลีกับคนในวังยะหริ่ง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ไว้ว่า

“สูตรไก่ฆอและสืบทอดมาจากคุณทวดที่อดีตท่านเคยทำอาหารในวังพิพิธภักดีที่สายบุรี สมัยก่อน ไก่ที่ชำแหละนำไปย่างทั้งตัวกับเตาถ่าน ย่างพลิกซ้ายพลิกขวาจนไก่สุก แล้วเอาไปไก่จุ่มน้ำแกง แล้วเอาไปย่างต่อ ทำซ้ำอย่างน้อย 7 ครั้ง โดยสมัยนั้นทวดไม่ได้ทำขาย แต่ทำสำหรับใช้ในพิธีกรรมในวัง และเลี้ยงแขกที่มาในวัง”  (นิมุสะริอ๊ะ นิแว, 2567)

“สูตรไก่ฆอและได้รับการถ่ายทอดจากคุณทวด ชื่อนางมาลอ เดิมเป็นผู้ช่วยแม่ครัววังยะหริ่ง ซึ่งนางรอกายะ บุตรสาวนางมาลอ ก็เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดการทำไก่ฆอและระดับจังหวัดมาก่อน”   (ฮามีดะห์ อูเซ็ง, 2567)

จากการศึกษาในพื้นที่จังหวัดปัตตานีพบแหล่งต้นตำรับการผลิตไก่ฆอและที่สำคัญอยู่ 2 แหล่ง คือ ชุมชนปากาปันยัง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี และ ที่หมู่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์  จังหวัดปัตตานี ดังนี้

          1) สูตรต้นตำรับในการทำไก่ฆอและของหมู่บ้านปากาปันยัง ถนนรามโกมุท ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไก่ฆอและดั้งเดิมของปัตตานี เป็นหมู่บ้านที่มีผู้ผลิตไก่ฆอและชื่อดังหลายรายตั้งแต่อดีตสืบทอดถึงปัจจุบัน มีสูตรที่เป็นต้นตำรับได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่พบความเป็นมาที่แน่ชัดว่าไก่ฆอและต้นกำเนิดมาจากใคร และเริ่มต้นมีการปรุงมาตั้งแต่เมื่อใด พบเพียงว่า การทำไก่ฆอและในชุมชนปากาปันยังมีมาแล้วกว่า 100 ปี โดยสมัยนั้นมีคนทำไก่ฆอและขาย เพียง 4–5 ราย ที่เป็นเจ้าต้นตำรับดังของจังหวัดปัตตานี เช่น เจ้าเมาะเต๊ะ เจ้าแวซะปีเยาะ เจ้ากะเซาะ เจ้าต๋วนเซาะ และเจ้ากะเย๊าะ ซึ่งได้ถ่ายทอดสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน 

          2) สูตรต้นตำรับในการทำไก่ฆอและของหมู่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไก่ฆอและที่สำคัญ สืบทอดกันมากกว่า 100 ปี เป็นหมู่บ้านที่มีจำนวนผู้ประกอบการทำไก่ฆอและมากที่สุดของจังหวัดปัตตานี  มีชื่อเสียงในเรื่องความอร่อยจนได้รับการยอมรับไปทั่ว ไม่พบความเป็นมาที่แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดมาจากใคร ชนชาติใด และเริ่มต้นมีการปรุงมาตั้งแต่เมื่อใด พบเพียงว่า เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ในชุมชนทุ่งพลามีคนทำไก่ฆอและเพียง 4-5 ราย โดยใช้ไก่บ้านเป็นวัตถุดิบ ภายหลังคนในชุมชนไม่มีงานทำ จึงยึดอาชีพทำไก่ฆอและ และทำข้าวหลามขายกันอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ดังบทสัมภาษณ์ เอกอดุลย์ สามะอาลี (2567) และ พาสีนะ สะอิ (2567) ไว้ว่า 

            “แม่เล่าว่า ไก่ฆอและเป็นอาหารทางวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยแหลมมลายู แล้วเมาะเต๊ะก็ทำโดยไม่ทราบว่าได้สูตรมาจากไหน แต่ต้นกำเนิดที่สืบค้นถึงตัวบุคคลมั่นใจว่าอยู่ที่บ้านปากาปันยังแน่ ๆ อยู่ที่รามโกมุทแน่ ๆ อยู่ที่ครอบครัวเมาะเต๊ะแน่ ๆ แล้วคนสมัยก่อนไม่มีการหวงสูตร ก็เผยแพร่ไปยังญาติ ๆ คนรู้จักที่อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยอาศัยความจำ ไม่มีการจดบันทึก สูตรจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ส่งผลให้ไก่ฆอและมีในหลาย ๆ พื้นที่ ทั้งพื้นที่โคกโพธิ์ ยะลา ยะหริ่ง สงขลา ซึ่งสูตรแต่ละที่ก็จะแตกต่างกันไป” (เอกอดุลย์ สามะอาลี, 2567) 

            “รามโกมุทเป็นหมู่บ้านที่มีไก่ฆอและเยอะมาก ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่าเมื่อถึงช่วงรอมฎอนก็จะมีควันเต็มไปหมด เกือบทุกซอกทำไก่ฆอและเต็มไปหมด โดยถนนรามโกมุทมี 2 หมู่บ้าน คือ ปากาปันยัง และบ้านกูแบอีเตะ ส่วนของหมู่บ้านปากาปันยัง ในอดีตมี 4–5 เจ้าที่เป็นเจ้าต้นตำรับดังของจังหวัดปัตตานีเจ้าเมาะเต๊ะ เจ้าแวซะปีเยาะ เจ้ากะเซาะ เจ้าต๋วนเซาะ และเจ้ากะเย๊าะ” (เอกอดุลย์ สามะอาลี, 2567)

           “เคยได้ยินจากคุณทวดว่าการทำไก่ฆอและ แรกเริ่มเดิมที่ก็มาจาก ตำบลทุ่งพลา โดยสมัยก่อนไม่มีไก่พันธุ์ มีแต่ไก่บ้านที่นำมาทำ แต่สมัยนี้ใช้ไก่เนื้อ เพราะเนื้อนุ่ม ในสมัยรุ่นทวดน่าจะ 100 ปีมาแล้ว มีคนขายไก่ฆอและเพียง 4-5 เจ้า แต่ปัจจุบันทำกันทั้งหมู่บ้าน โดยเริ่มที่คนในหมู่บ้านไม่มีอะไรทำหลังพักจากการตัดยาง ก็เลยทำไก่ฆอและ และข้าวหลามขาย พอทำแล้วมีรายได้ดีก็ยึดทำเป็นอาชีพ ส่งต่อกันถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน” (พาสีนะ สะอิ, 2567) 

สรุป ประวัติความเป็นมาของไก่ฆอและ พบข้อสันนิษฐานว่า ต้นกำเนิดเป็นอาหารที่ปรุงโดยชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายู ถ่ายทอดและสืบทอดยาวนานมากกว่า 100 ปี บางกระแสเชื่อว่า ไก่ฆอและเป็นอาหารที่มีจุดกำเนิดจากในวัง ปรุงขึ้นสำหรับเลี้ยงต้อนรับบุคคลสำคัญแขกบ้านแขกเมือง ขึ้นโต๊ะในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันสำคัญของเจ้าเมือง และในพิธีกรรมต่างๆ จนแพร่หลายสู่คนภายนอก  ปัจจุบันไก่ฆอและนับว่าเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ ที่มักจะใช้ขึ้นโต๊ะในงานประเพณี และวันสำคัญต่างๆ เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี ตลอดจนไก่ฆอและปัตตานีมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นต้องหาโอกาสมาลิ้มลองสักครั้งในชีวิต รวมทั้งได้มีการยกระดับไก่ฆอและให้เป็น “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” จึงมีคุณค่าด้านภาพลักษณ์ของอาหารประจำถิ่นปัตตานี สามารถส่งเสริมต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวในแบบ Gastronomy ซึ่งภูมิปัญญาไก่ฆอและสามารถสร้างภาพลักษณ์ สร้างประสบการณ์ สร้างความทรงจำ ความเป็นอัตลักษณ์ ความเป็นของแท้ ให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนปัตตานีที่มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไก่ฆอและ จนเกิดความตระหนัก สำนึกรักภูมิปัญญาอาหารในชุมชนตนเอง รักในอัตลักษณ์ของตนเอง 

 

 ไก่ฆอและ: พื้นที่ปฏิบัติ

ลักษณะของพื้นที่ปฏิบัติไก่ฆอและในจังหวัดปัตตานี มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ปรุงสำหรับรับประทานภายในครอบครัวในโอกาสพิเศษ หรือเฉลิมฉลองกันในครัวเรือนนานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่ปรุงโดยผู้มีอายุหรืออาวุโสสุดของบ้านที่ยังมีฝีมือในการทำไก่ฆอและ ซึ่งจะปรากฏส่วนน้อยในปัจจุบัน และลักษณะปรุงเพื่อจำหน่าย ทั้งจำหน่ายเปิดหน้าร้าน เร่ขาย จำหน่ายในช่วงงานเทศกาลสำคัญต่างๆ และจำหน่ายรับออเดอร์ตามลูกค้าสั่ง ช่องทางตรงหรือทางออไลน์ ตลอดจนรูปแบบขายแฟรนไซส์ ฆอและตานี – Golek Tani

         จากการสำรวจพื้นที่ปฏิบัติทำไก่ฆอและในจังหวัดปัตตานี พบว่า มีอยู่กระจัดกระจายตามอำเภอต่างๆ ดังนี้ อำเภอเมืองปัตตานี มีผู้ประกอบการหลักๆ ที่ถนนรามโกมุท เป็นหมู่บ้านที่มีผู้ผลิตไก่ฆอและชื่อดังหลายราย และเป็นแหล่งผลิตไก่ฆอและดั้งเดิมของปัตตานี มีสูตรที่เป็นต้นตำรับที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อำเภอยะหริ่ง มีผู้ประกอบการหลักๆ ที่ตำบลยามู ตำบลตะโละกาโปร์ เป็นสูตรไก่ฆอและที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรจากรุ่นทวดมากกว่า 100 ปี  อำเภอสายบุรี ผู้ประกอบการ หลักๆ ที่ซอยตลาดสด ถนนสายบุรี และถนนลาเมาะบก ตำบลตะลุบัน อำเภอปะนาเระ มีผู้ประกอบการทำไก่ฆอและหลัก ๆ ที่หมู่ 7 ตำบลบ้านกลาง เป็นสูตรที่ตกทอดจากครอบครัวมา 3 ชั่วอายุ อำเภอมายอ มีผู้ประกอบการทำไก่ฆอและ หลักๆ ที่หมู่ 3 ตำบลถนน อำเภอทุ่งยางแดง มีผู้ประกอบการทำไก่ฆอและ หลัก ๆ ที่หมู่ 1 ตำบลตะโละแมะนา อำเภอแม่ลาน มีผู้ประกอบการหลักๆ ที่บ้านจะโด๊ะ ตำบลแม่ลาน อำเภอแม่ลาน และอำเภอโคกโพธิ์ เป็นแหล่งปฏิบัติการทำไก่ฆอและจำนวนมากที่สุดของจังหวัดปัตตานี โดยหลักๆ จะอยู่ใน 3 ตำบล คือ ตำบลทุ่งพลา ตำบลปากล่อ และตำบลโคกโพธิ์ ส่วนพื้นที่อำเภอหนองจิก อำเภอยะรัง จะพบว่ามีผู้ประกอบการจากรามโกมุท จากตำบลทุ่งพลา มาเร่ขายตามตลาดนัดชุมชน และตลาดนัดประจำอำเภอ

 ไก่ฆอและ: ลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี

ไก่ฆอและ เป็นชื่อที่สามารถบ่งบอกถึงกรรมวิธีการปรุงที่มีลักษณะเฉพาะ และจดจำชื่อเรียกได้ง่ายโดยเฉพาะคนต่างถิ่น เครื่องปรุงสำหรับทำไก่ฆอและ ประกอบด้วย ไก่ พริกแห้ง หอมแดง ขิง กระเทียม กะปิ มะขามเปียก เกลือ น้ำตาลแว่น และกะทิ ล้วนเป็นวัตถุที่มีอยู่ในพื้นที่ปัตตานี โดยมีเคล็ดลับพิถีพิถันใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญาในการคัดสรรเตรียมวัตถุดิบให้มีคุณภาพ เช่น พริกแดง หอมแดง กระเทียม ขิง ไก่ นำไปล้างให้สะอาดก่อนปรุง โดยเฉพาะไก่ ต้องทำความสะอาดไม่ให้มีกลิ่นคาวหลงเหลือ เพื่อให้  ไก่ฆอและที่ปรุงเสร็จมีแต่กลิ่นหอมกรุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องแกง กะทิต้องคั้นสดใหม่ โดยให้เลือกมะพร้าวผลแก่จะทำให้มีความมัน ให้รสชาติกลมกล่อม ตลอดจนใช้เวลาในการเคี่ยวกะทินาน 2 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำแกงไก่ฆอและเก็บไว้ได้นานถึง 2 วัน โดยไม่เสียรสชาติ ซึ่งเป็นวิธีการทางธรรมชาติที่ใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญา

วิธีการปรุงน้ำแกง พริกแห้งแช่น้ำ หอมแดง กระเทียมปอกเปลือกรวมทั้งขิงโขลกรวมกันหรือบดให้ละเอียด เอาหัวกะทิตั้งไฟนำเครื่องแกงที่โขลกแล้วลงไปคลุก ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง จนกะทิแตกมัน ปรุงรสด้วยเกลือ มะขามเปียก ทำการชิม ให้มีรสชาติกลมกล่อมหวานแตะลิ้น การปรุงน้ำแกงให้ได้รสชาติกลมกล่อมหวานแตะลิ้น อันเป็นรสชาติดั้งเดิมที่เป็นอัตลักษณ์ของไก่ฆอและ ผู้ปรุงจำเป็นจะต้องใช้ประสบการณ์ ฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก จากครูภูมิปัญญาที่ทำไก่ฆอและ เรียนรู้ระหว่างการทำงาน เรียนรู้ผ่านการสังเกต ใช้ความรู้ที่ฝังลึกในคน ฝังอยู่ในความคิด ที่คนได้มาจากประสบการณ์ ที่สั่งสมมานาน จากการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเชื่อมโยง จนเป็นความรู้ที่มีคุณค่าสูง ที่ฝังลึกไม่สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่เปิดเผยได้ทั้งหมด  ส่วนวิธีการย่างไก่ นำไก่ที่ล้างสะอาดแล้วมาหนีบกับไม้ไผ่มัดด้วยใบตอง แล้วนำไปย่าง โดยใช้ถ่านจากกะลามะพร้าว เป็นวิธีการย่างแบบดั้งเดิมเพื่อให้ไก่สุกทั่ว เนื้อนุ่ม กลิ่นหอม และสะอาด เมื่อย่างจนไก่สุกแล้วนำมาจุ่มหรือราดน้ำแกงให้ทั่วเนื้อไก่ ครั้งที่ 1 แล้วนำไปย่างบนไฟอ่อนๆ พลิกไปพลิกมา แล้วนำมาราดน้ำแกงครั้งที่ 2 และนำไปย่าง ทำซ้ำอีกครั้ง ก็จะได้ไก่ที่ผ่านการย่าง 3 รอบ การนำไก่ไปย่างพลิกไปพลิกมา ทำให้เครื่องแกงซึมเข้าถึงเนื้อไก่ ได้กลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องแกง และเนื้อสัมผัสไก่ติดน้ำแกงดี ดูน่ารับประทาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่หาทานได้ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งกรรมวิธีการปรุงไก่ฆอและที่เป็นอัตลักษณ์นี้ เป็นองค์ความรู้ทางภูมิปัญญาที่ได้สืบทอดจากบรรพบุรุษ เคล็ดลับการทำไก่ฆอและเหล่านี้ไม่ได้เขียนบอกในตำราอย่างชัดเจน แต่เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง และเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงผ่านจากการสังเกตและการลงมือปฏิบัติจริงจนเกิดความชำนาญ

ปัจจุบันการบริโภคไก่ฆอและส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานกับข้าวสวย หรือข้าวเหนียว สามารถรับประทานเป็นอาหารว่างหรืออาหารหลัก มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพ วิธีการทำให้เนื้อไก่สุกโดยกรรมวิธีการย่าง ถือว่าเป็นการกำจัดไขมันออกจากไก่ รวมทั้งเครื่องแกงอุดมด้วยสมุนไพร ทำให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดี ตลอดจนกลิ่นหอมกรุ่นจากหอมแดงที่ใช้เวลาเคี่ยวนาน ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นสู่ประสาทสัมผัสให้ผู้บริโภคเจริญอาหาร

ไก่ฆอและเป็นอาหารชั้นเลิศ ที่มักจะใช้ขึ้นโต๊ะในงานประเพณี และวันสำคัญต่าง ๆ เช่น งานประเพณีแต่งงาน งานประเพณีขึ้นบ้านใหม่ วันสำคัญตรุษอีดิลฟิตรีโดยรับประทานคู่กับข้าวเหนียว “ปูตะ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันรายอของชาวไทยมุสลิม งานต้อนรับบุคคลสำคัญบุคคลต่างถิ่น งานเลี้ยงสังสรรค์รวมกันภายในครอบครัว

นอกจากนั้น ไก่ฆอและยังมีเสน่ห์ที่เป็นภาพจำของแม่ค้าที่เดินทูนกะละมังเร่ขายตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในจังหวัดปัตตานี และต่างจังหวัด ตลอดจนการเร่ขายไก่ฆอและพร้อมกับข้าวหลามในงานประเพณีสำคัญ ๆ หรือเทศกาลต่างๆ เช่น งานประเพณีชักพระโคกโพธิ์ งานประเพณีแต่งงาน งานแข่งขันกีฬา งานมหกรรมอาหารปลอดภัยไก่ฆอและประจำปีจังหวัดปัตตานี งานกาชาดประจำจังหวัด งานระดับชุมชน เช่น งานบรรยายธรรม งานประกอบพิธีทางศาสนา และงานอื่นๆ ที่มีกิจกรรมรวมพล จะเห็นได้ว่า ไก่ฆอและนอกจากเป็นอาหารประจำถิ่นปัตตานีแล้ว ยังเป็นอาหารที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของคนปัตตานี ทั้งเป็นอาหารที่สื่อถึงอัตลักษณ์ของชุมชน อุปนิสัยคนในชุมชน และบุคลิกตัวตนของคนทำไก่ฆอและอีกด้วย

การทำไก่ฆอและ เป็นอาหารที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ผู้ปรุงอาหารต้องได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลานาน เป็นการสืบทอดโดยสายเลือดและฝึกปรือตั้งแต่เด็กจากพ่อแม่สู่ลูกหลาน คุณค่าอยู่ที่ความใส่ใจและความอดทน และการรักษาสูตรดั้งเดิม สูตรอาหารจึงนับว่าเป็นแก่นสำคัญของการสืบทอดความเป็นอาหารแท้ (Authentic) ความเป็นอัตลักษณ์ของอาหารประจำถิ่นปัตตานีอย่างไก่ฆอและ เพื่อเป็นการรักษา สืบสาน สูตรการทำไก่ฆอและไม่ให้สูญหาย จึงขอนำเสนอสูตรการปรุงไก่ฆอและที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์จากครูภูมิปัญญา ที่พบในพื้นที่ศึกษาในจังหวัดปัตตานี ซึ่งบางสูตรได้มีการปรับตามความจริงที่ปรากฏ โดยที่แต่ละสูตรไก่ฆอและที่นำเสนอยังคงมีลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1) ไก่ฆอและสูตรนางสุดา มะเด็ง ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

เป็นสูตรภูมิปัญญาการทำไก่ฆอและ ที่ได้รับการสืบทอดจากป้าของสามี นางโสรัยยะห์ เมาะเยาะห์ หรือที่รู้จักกันในพื้นที่ คือ เปาะโยงไก่ฆอและ อดีตเป็นเจ้าดังในตลาดโคกโพธิ์มากกว่า 50 ปี จะเข็นรถขายตามหมู่บ้าน และในตลาดโคกโพธิ์ โดยนางสุดา มะเด็ง เป็นผู้สืบทอดสูตรทำไก่ฆอและมาร่วม 35 ปี ปัจจุบันขายไก่ฆอและ พร้อมกับข้าวหลาม บริเวณหน้าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 2 และรับทำตามลูกค้าสั่งสำหรับขึ้นโต๊ะรับประทานในงานสำคัญต่างๆ เช่น งานประเพณีแต่งงาน งานประเพณีขึ้นบ้านใหม่ งานเลี้ยงของส่วนราชการ เลี้ยงแขกในวันตรุษอีดิลฟิตรี ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่โคกโพธิ์ และจากนอกพื้นที่ เช่น หาดใหญ่ สงขลา นครศรีธรรมราช  มีวิธีการปรุงทำดังนี้

วิธีการทำน้ำแกง

ส่วนประกอบของเครื่องน้ำแกง คือ พริกแดง หอมแดง กระเทียม น้ำตาลแว่น ข้อแตกต่างสูตรของผู้ประกอบการกับสูตรดั้งเดิม คือ สูตรดั้งเดิมจะใช้เครื่องบดโบราณ โดยจะบดพริกแดงก่อนเพราะใช้เวลาในการบดมาก และพริกแดงที่บดได้จะมีความหยาบกว่าสูตรของผู้ประกอบการซึ่งใช้เครื่องปั่นแทนการบดส่วนประกอบของเครื่องน้ำแกง มีวิธีทำดังนี้

1) นำพริกแดงผ่าเอาเมล็ดออก นำไปล้าง แล้วนำไปต้มเพื่อให้พริกนิ่ม มีความหอม และเป็นการฆ่าเชื้อราบางส่วน ต้มเสร็จนำพริกมาล้างจนน้ำใส แล้วใส่ตะกร้าพักไว้

2) นำพริกแดง หอมแดง และกระเทียม มาปั่นกับน้ำกะทิจนละเอียด นำมาใส่หม้อ (ดั้งเดิมพริกแดงจะใช้เครื่องบดโบราณ ปัจจุบันปรับใช้เครื่องปั่น เพื่อความสะดวก รวดเร็ว) แล้วนำไปเคี่ยวจนได้ที่ เติมน้ำตาลแว่น มะขามเปียก ปรุงรส แล้วเติมแป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย เพื่อให้น้ำแกงเหนียวข้น 

วิธีการทำไก่

1) เลือกไก่ตัวใหญ่มีเนื้อ อายุประมาณ 3 เดือน ทำให้ได้เนื้อไก่ที่นุ่ม นำมาล้างทำความสะอาด และแยกเป็นชิ้นส่วน คือ ปีก หนัง ตีน เครื่องใน หน้าอก น่อง สะโพก และคอ (เน้นความสะอาดโดย  ไก่ฆอและต้องไม่มีกลิ่นคาวหลงเหลือ เมื่อย่างเสร็จจะได้แต่กลิ่นหอมจากเครื่องแกง)

2) นำไก่มาหนีบกับไม้ไผ่ มัดด้วยเชือกใบพ้อ แล้วนำไปต้มกับน้ำแกงประมาณ 10-20 นาที จนนิ่มยกขึ้นพักไว้  

3) นำไก่ไปย่างบนเตาถ่านกะลามะพร้าว ย่างจนสุก แล้วนำน้ำแกงมาราดให้ทั่วเนื้อไก่ และนำไปย่าง และราดซ้ำอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ การใช้เตาถ่านกะลามะพร้าว จะทำให้เนื้อไก่สุกทั่ว และมีกลิ่นหอม ส่วนการนำไก่ไปย่างพลิกไปพลิกมา ทำให้เครื่องแกงซึมเข้าถึงเนื้อไก่ ได้กลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องแกง และเนื้อสัมผัสไก่แห้งสวย ซึ่งเป็นกรรมวิธีการปรุงไก่ฆอและที่เป็นเอกลักษณ์ โดยใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดให้ลูกหลาน

ลักษณะพิเศษของสูตร คือ เน้นรักษาความสะอาดในทุกขั้นตอนการทำ เช่น ใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ น้ำกะทิต้องคั้นสดใหม่ ไก่ล้างให้สะอาด เพื่อทำให้ไก่ฆอและเก็บไว้ได้นานถึง 2 วัน โดยไม่เสียรสชาติซึ่งเป็นวิธีการทางธรรมชาติโดยใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญา นอกจากนั้น การใช้ถ่านจากกะลามะพร้าว จะทำให้เนื้อไก่สุกทั่ว มีกลิ่นหอม และสะอาด ส่วนการนำไก่ไปย่างพลิกไปพลิกมา ทำให้เครื่องแกงซึมเข้าถึงเนื้อไก่ ได้กลิ่นหอมกรุ่นจากเครื่องแกง และเนื้อสัมผัสไก่แห้งสวย ซึ่งเป็นกรรมวิธีการปรุงไก่ฆอและที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งยังเน้นให้ความสำคัญในเรื่องกลิ่น โดยไก่ฆอและต้องไม่มีกลิ่นคาว มีแต่ความหอมกรุ่นจากเครื่องน้ำแกง

2) ไก่ฆอและสูตรชุมชนปากาปันยัง ถนนรามโกมุท อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี

เป็นสูตรภูมิปัญญาการทำไก่ฆอและของชุมชนปากาปันยัง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีผู้ผลิตไก่ฆอและขึ้นชื่อหลายราย และเป็นแหล่งผลิตไก่ฆอและดั้งเดิมของปัตตานี มีสูตรที่เป็นต้นตำรับที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น  มีผู้ประกอบการทำไก่ฆอและหลักๆ อยู่ที่รามโกมุท ดังเช่น 1) ร้านไก่ฆอและกะเมาะ ตั้งขายอยู่ที่ ถนนรามโกมุท ซอย 4 2) ร้านไก่ฆอและเมาะเต๊ะ ขายอยู่ตลาดมะกรูด และตลาดเทศวิวัฒน์ 3) ร้านไก่ฆอและยีเย๊าะ ขายอยู่ที่ถนนรามโกมุท ซอย 4 4) ร้านสารีฟะห์ เวาะเล็ง ขายอยู่หน้าตลาดเทศวิวัฒน์ 5) นายยัมลูวัน อีซอ จำหน่ายไก่ฆอและ โดยการออกร้านตามงานต่างๆ ทั้งในจังหวัด และต่างจังหวัด 6) นายเอกอดุลย์ สามะอาลี ขายแฟรนไซส์ฆอและตานี – Golek Tani สูตรชุมชน ปากาปันยัง ตัวอย่างสูตรการปรุงดังนี้

 วิธีการทำน้ำแกง

        1) เตรียมน้ำกะทิ โดยมีเคล็ดลับเลือกมะพร้าวผลแก่จะทำให้มีความมัน ให้รสชาติกลมกล่อม

        2) นำส่วนประกอบของเครื่องแกงมาปั่นรวมกัน เช่น พริกแดง (ใช้พริกแดงที่ปั่นมาแล้ว) น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย ขิง กระเทียม หอมแดง และกะปิ

        3)      นำกะทิตั้งไฟ แล้วนำส่วนประกอบเครื่องแกงข้อ 2 มาผสมกัน เคี่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง คนไปเรื่อย ๆ จนกะทิแตกมัน ปรุงรส ทำการชิม โดยให้มีรสชาติกลมกล่อมแตะลิ้น

 วิธีการทำไก่

1)  ไก่นำมาล้างให้สะอาด แยกเป็นชิ้นส่วน คือ ปีก หนัง ตีน เครื่องใน หน้าอก น่อง สะโพกและคอ

2)  นำไก่ไปต้มกับเกลือเพื่อให้ได้รสชาติ (ขั้นนี้ปรับจากสูตรเดิมที่ต้องหมักไก่ด้วยขมิ้นกับเกลือ แล้วเอาไปย่าง ซึ่งจะใช้เวลานาน) โดยต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือให้ไก่มีรสเค็มพอดีลงไป แล้วใส่ไก่ลงไปต้มพอสุข แล้วนำไก่ที่ผ่านการต้มมาหนีบกับไม้ไผ่มัดด้วยใบตอง

3)      นำไปย่างรอบที่ 1 เพื่อให้สะเด็ดน้ำที่ต้ม (หากมีน้ำค้างอยู่ในตัวไก่ น้ำแกงจะติดไม่ดี)

4)   นำไก่ที่ผ่านการย่างในรอบที่ 1 วางบนถาด ใช้ทัพพีตักน้ำแกงราดให้ทั่ว แล้วนำไปย่างเป็นรอบที่ 2 ยกไก่ขึ้น แล้วนำน้ำแกงมาราด และนำไปย่างทำซ้ำอีกครั้ง ก็จะได้ไก่ที่ผ่านการย่าง 3 รอบ (ขณะย่างให้พลิกไปพลิกมา) ซึ่งจะได้เนื้อสัมผัสที่มีน้ำแกงติดบนไก่

ลักษณะพิเศษของสูตร คือ เน้นเนื้อสัมผัสให้เครื่องแกงติดกับตัวไก่ด้วยกระบวนการย่าง แล้วราดน้ำแกง 3 ครั้ง และยังเน้นรสชาติ “กลมกล่อมแตะลิ้น” (เป็นสูตรพิเศษของผู้ประกอบการไก่ฆอและในชุมชนปากาปันยังที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นทวดรุ่นยาย) กระบวนการทำให้เครื่องแกงติดกับตัวไก่ และการปรุงไก่ฆอและเพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อมแตะลิ้นเหมือนสูตรดั้งเดิมนี้ ผู้ปรุงจำเป็นจะต้องใช้ประสบการณ์ ฝึกปรือตั้งแต่เด็ก จากพ่อแม่ สู่ลูกหลาน เรียนรู้ระหว่างการทำงาน ใช้ความรู้ที่ฝังลึกในคน ฝังอยู่ในความคิด ที่คนได้มาจากประสบการณ์ ข้อสังเกต ที่สั่งสมมานาน จากการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเชื่อมโยง จนเป็นความรู้ที่มีคุณค่าสูง แต่แลกเปลี่ยนยาก ความรู้ที่ฝังลึกไม่สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่เปิดเผยได้ทั้งหมด แต่จะต้องเกิดจากการเรียนรู้ผ่านการสังเกต แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างการทำงาน ดังบทสัมภาษณ์

“คนที่จะรับช่วงต่อก็ต้องคลุกคลีกับกระบวนการทำไก่ฆอและก่อน ถ้าคุณไม่คลุกคลี สูตรและกระบวนการทำมันก็จะไม่เหมือนกัน เหมือนรสชาติน้ำแกงของผมกับแม่จะใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นรสชาติดั้งเดิมเหมือนของรุ่นคุณย่า และของเมาะเต๊ะเจ้าเก่า แต่ของแม่กับพี่สาวรสชาติจะแตกต่างกัน สูตรเดียวกันแต่น้ำหนักมือในการปรุงแต่งจะแตกต่างกัน กังวลในเรื่องของการปรุงว่ารสชาติของอาหารอาจจะไม่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาก็คือการจดบันทึกและคำนวนตามปริมาณที่ทำจริงตามสูตรดั้งเดิม” (นายยัมลูวัน อีซอ, 2567)

3) ไก่ฆอและสูตรนางฮามีดะห์ อูเซ็ง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี

เป็นสูตรภูมิปัญญาการทำไก่ฆอและ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณทวด ซึ่งอาชีพทำไก่ฆอและขาย เป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัวที่ได้ปฏิบัติสืบทอดมากกว่า 100 ปี อดีตทวดมาลอที่ยะหริ่ง ได้ถ่ายทอดสู่รุ่น 2 นางปาตีเมาะ ผู้เป็นแม่ยาย และ นางรอกายะ ผู้เป็นป้า (บุตรสาวนางมาลอ ซึ่งเคยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดการทำไก่ฆอและระดับจังหวัด) และตกทอดมาสู่รุ่นที่ 3 คือ นางฮามีดะห์ ผู้เป็นสะใภ้ โดยได้ปฏิบัติสืบทอดทำไก่ฆอและขาย มากกว่า 40 ปี มีวิธีการปรุงดังนี้

วิธีการทำน้ำแกง

1) นำน้ำส่วนที่ต้มไก่ประมาณ 2/4 ของน้ำทั้งหมด มาคั้นกะทิเพื่อให้ได้กลิ่นหอม เอาเฉพาะหัวกะทิสำหรับทำน้ำแกง พริกแดงล้างให้สะอาด นำมาปั่นรวมกับน้ำกะทิ ให้ละเอียด

2) นำกระเทียม หอมแดง กะปิ ขิง มะขามเปียก มาปั่นรวมกัน

3) นำเครื่องปรุงข้อ 1 และ 2 เทในน้ำกะทิแล้วนำมากรอง เอาส่วนกากออก (เป็นองค์ความรู้ภูมิปัญญาที่ทำให้ได้น้ำแกงสีสวยเนียน เวลานำไปย่างหลังจากราดเสร็จ ตัวเนื้อสัมผัสไก่ฆอและจะสวย

เนียน ดูน่ารับประทาน กระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค ให้เกิดความอยากลิ้มลองไก่ฆอและ ซึ่งเป็นเคล็ดลับของครอบครัว)  

4) ตั้งกะทิเคี่ยวให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง ปรุงรสให้กลมกล่อม แล้วยกมาพักให้เย็น ซึ่งเป็น

การเคี่ยวน้ำแกงครั้งที่ 1 ก็จะได้น้ำแกงเหลว

5) เคี่ยวน้ำแกงครั้งที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จนน้ำแกงข้นแล้วยกลง (เพื่อให้ได้น้ำแกง

ข้นสวยงามและเก็บไว้ได้นาน ซึ่งเป็นวิธีการทางธรรมชาติโดยใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญา)

 วิธีการทำไก่

1) เลือกไก่ที่มีน้ำหนักประมาณ 1.7-1.8 กิโลกรัม (เนื้อไก่กำลังดี หากตัวใหญ่เวลาย่างเนื้อจะ

สุกยาก และน้ำแกงไม่ซึมเข้าเนื้อ) ต้องเป็นไก่สดเชือดวันต่อวัน

2) นำมาชำแหละแบ่งเป็นชิ้นส่วน ล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มประมาณ 10-20 นาที ใส่เกลือ ขมิ้น ตะไคร้ เพื่อดับกลิ่นคาว ต้มพอสุกแล้วยกมาพักให้เย็นแล้วนำมาหนีบกับไม้ไผ่

         3) นำไก่ไปย่างให้สุก แล้วนำน้ำแกงที่เคี่ยวครั้งที่ 1 มาราด ทำซ้ำให้ครบ 3 รอบ (น้ำแกงที่เคี่ยวครั้งที่ 1 เป็นน้ำแกงที่ยังไม่ข้น มาราดเพื่อให้น้ำแกงซึมเข้าไปในเนื้อไก่) ก็จะได้ไก่ฆอและที่มีเนื้อสัมผัสสวยเนียน ดูน่ารับประทาน

          ลักษณะพิเศษของสูตร คือ เน้นเนื้อสัมผัสให้เครื่องแกงติดกับตัวไก่ด้วยกระบวนการย่าง  แล้วราดน้ำแกง 3 ครั้ง อีกทั้งการนำกะทิที่ผสมกับเครื่องแกงปั่นมากรอง ก่อนการนำไปเคี่ยว ทำให้ได้น้ำแกงสีสวยเนียน และเมื่อนำไก่ไปย่างหลังจากราดครั้งที่ 3 ตัวเนื้อสัมผัสไก่ฆอและจะสวยเนียน ดูน่ารับประทาน กระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค ให้เกิดความอยากลิ้มลองไก่ฆอและ ซึ่งเป็นเคล็ดลับของครอบครัวเป็นองค์ความรู้ภูมิปัญญาจากรุ่นทวด ตลอดจนน้ำแกงมีความแตกมันจากหัวกะทิ ด้วยการคัดสรรใช้มะพร้าวทึนทึกเพื่อให้ได้ความหวาน ผสมกับมะพร้าวแห้งเพื่อให้ได้ความมัน ความกลมกล่อมของรสชาติ 

4) ไก่ฆอและสูตรนางสาวนิมุสะริอ๊ะ นิแว อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี

เป็นสูตรภูมิปัญญาการทำไก่ฆอและ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากทวด นางแวตีเมาะ อดีตเป็นผู้ช่วยแม่ครัวทำอาหารให้คนในวังพิพิธภักดี อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ส่วนผู้เป็นย่านางแวมีเนาะ อดีตเคยเป็นแม่ครัวทำไก่ฆอและให้คนในวังโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ดังบทสัมภาษณ์

 

“โดยสมัยนั้นทวดไม่ได้ทำไก่ฆอและขาย แต่ทำสำหรับใช้ในพิธีกรรมในวัง และเลี้ยงแขกที่มาในวัง”  (นิมุสะริอ๊ะ นิแว, 2567)

 

โดยนางสาวนิมุสะริอ๊ะ นิแว ได้ปฏิบัติสืบทอดทำไก่ฆอและมากกว่า 42 ปี ปัจจุบันไม่ได้ทำ   ไก่ฆอและขายเป็นหลัก แต่จะรับทำเฉพาะตามออเดร์ที่ลูกค้าสั่งนาน ๆ ครั้ง เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ และอายุที่มากขึ้น ซึ่งยังคงใช้สูตรและกรรมวิธีการปรุงแบบดั้งเดิม ที่มีลักษณะพิเศษ วิธีการปรุงมีดังนี้

 

วิธีการทำน้ำแกง

1) เตรียมส่วนประกอบของน้ำแกง คือ กะทิ หัวหอม กระเทียม ขิง พริกแดงแห้ง มาโขลกหรือปั่น

2) การทำเครื่องน้ำแกง เริ่มจากผสมเครื่องแกงข้อ 1 ผสมกับกะทิ แล้วนำไปตั้งไฟ เคี่ยวให้แกงเดือด ใส่กะปิ น้ำตาลแว่น และปรุงรสชาติ

 

วิธีการทำไก่

1) ไก่นำมาทำความสะอาด เลาะกระดูกออก ทาขมิ้นกับเกลือบาง ๆ แล้วนำมาย่างกับเตาถ่าน ขณะย่างพลิกซ้ายพลิกขวา (อดีตเคยทำวิธีการย่างทั้งตัว แต่ปัจจุบันปรับเป็นย่างแบบชิ้นส่วนที่ทำกันทั่วไป เพื่อความสะดวก รวดเร็ว เมื่อต้องทำในปริมาณเยอะ)

2) นำไก่ที่ย่างเสร็จแล้วมาจุ่มในกระทะน้ำแกง พร้อมราดให้ทั่วเนื้อไก่ครั้งที่ 1 แล้วเอานำไปย่าง และเอามาจุ่มใหม่ ครั้งที่ 2 ทำขั้นตอนนี้อย่างน้อย 3 ครั้ง ก็จะได้ไก่ฆอและที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มเหมือนละลายในปาก รสชาติน้ำแกงถึงเนื้อไก่ เวลาทานก็จะได้สัมผัสถึงความนุ่มน้ำแกงเข้าถึงเนื้อไก่เข้าถึงกระดูก (อดีตใช้วิธีการราดน้ำแกงแล้วนำไปย่าง จำนวน 7 ครั้ง แต่ปัจจุบันปรับลดจำนวนครั้งในการจุ่มและราดเป็นจำนวน 3 ครั้ง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว เมื่อต้องทำในจำนวนมาก)

 

ลักษณะพิเศษของสูตร คือ ยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นรสชาติแบบดั้งเดิมของไก่ฆอและ กระบวนการกรรมวิธีการทำที่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม มีการปรุงแต่งน้อยมาก “ยังคงรักษาสูตรดั้งเดิมที่คนเฒ่าคนแก่ มอบให้ลูกหลานได้สืบทอดทำเป็นอาชีพ”  (นิมุสะริอ๊ะ นิแว, 2567) คือ การทาขมิ้นกับเกลือบาง ๆ ที่ตัวไก่ แล้วนำมาย่างกับเตาถ่าน ขณะย่างพลิกซ้ายพลิกขวา (อดีตเคยทำวิธีการย่างทั้งตัว ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้ไก่สุกที่ซับซ้อน ยุ่งยาก แต่ปัจจุบันปรับเป็นย่างแบบชิ้นส่วน เพื่อความสะดวก รวดเร็ว เมื่อต้องทำในปริมาณมาก) และขั้นตอนการจุ่มกับราด คือ นำไก่ที่ย่างแล้ว มาจุ่มในกระทะน้ำแกง พร้อมราดให้ทั่วเนื้อไก่ ทำซ้ำ 3 ครั้ง ก็จะได้ไก่ฆอและที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มเหมือนละลายในปาก รสชาติน้ำแกงถึงเนื้อไก่ อดีตใช้วิธีการราดจำนวน 7 ครั้ง ปัจจุบันปรับลดจำนวนครั้งในการจุ่มและราดเป็นจำนวน 3 ครั้ง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว เมื่อต้องทำในปริมาณที่มาก ซึ่งรสชาติที่ได้ไม่ได้ผิดเพี้ยนจากเดิม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใคร รสชาติแบบนี้สามารถหาทานได้เฉพาะที่จังหวัดปัตตานี

5)ไก่ฆอและสูตรทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี  

หมู่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นแหล่งผลิตไก่ฆอและที่สำคัญ สืบทอดกันมากกว่า 100 ปี เป็นหมู่บ้านที่มีผู้ประกอบอาชีพทำไก่ฆอและ และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการทำไก่ฆอและ จำนวนมากที่สุดของจังหวัดปัตตานี มีทั้งเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมหารายได้เข้าครัวเรือน แต่ละครอบครัวจะมีวิธีการปรุงโดยรวมเหมือนกันแต่มีเคล็ดลับแตกต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย เรียกว่า สูตร  ไก่ฆอและทุ่งพลา ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งประมาณมากกว่า 3 ชั่วอายุคน จากการสำรวจและจากข้อมูลขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งพลา พบว่า ผู้จำหน่ายไก่ฆอและของตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี มีจำนวนมากว่า 20 ราย ที่ยังคงจำหน่ายไก่ฆอและ และข้าวหลาม โดยขายตามตลาดในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและต่างจังหวัด เช่น จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา และนราธิวาส  นอกจากนี้จะมีการขายไก่ฆอและพร้อมกับข้าวหลามตามงานหรือเทศกาลสำคัญต่างๆ เช่น งานอาหารปลอดภัยไก่ฆอและประจำปีจังหวัดปัตตานี งานกาชาดประจำจังหวัด หรืองานประเพณีต่างๆ หรืองานในระดับบอำเภอ ระดับตำบล เช่น งานบรรยายธรรม งานประกอบพิธีทางศาสนา งานแข่งขันกีฬา งานแต่งงาน และงานอื่นที่มีการรวมกลุ่มจำนวนมาก ซึ่งสูตรภูมิปัญญาการทำไก่ฆอและของหมู่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี วิธีการปรุงมีดังนี้

วิธีการทำน้ำแกง

1) นำกะทิตั้งไฟให้เดือดพอแตกมันแล้วใส่พริกแดงผง นำหอมแดง กระเทียม ขิง กะปิ ที่บดจนละเอียดใส่ลงไป แล้วตามด้วยแป้งข้าวเจ้าที่ผสมน้ำแล้ว เทลงไปในน้ำแกง เพื่อให้น้ำแกงมีความข้นมากขึ้น (อดีตใช้พริกแดงมาบดด้วยเครื่องบดแป้งบดให้ละเอียด แต่ปัจจุบันปรับใช้พริกแดงผงสำเร็จรูป เพื่อความสะดวก ประหยัดเวลา)

2) เคี่ยวจนน้ำแกงเดือด ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำมะขามเปียก เกลือ จนน้ำแกงข้น ยกลง

 

วิธีการทำไก่

1) นำไก่มาล้างให้สะอาด แล้วเอามาหนีบกับไม้ไผ่ โดยใช้ใบเตยมัดปลายให้แน่น

2) นำไก่มาย่างจนสุก แล้วราดด้วยน้ำแกงให้ทั่ว แล้วนำไปย่างบนเตาไฟอ่อน ๆ อีกครั้ง และนำมาราดน้ำแกงซ้ำอีกครั้ง จนเครื่องแกงจับเนื้อไก่ดีและซึมเข้าเนื้อไก่ ยกใส่ถาดพร้อมขาย

ลักษณะพิเศษของสูตร คือ การนำไก่ไปย่างสดแทนการต้ม จะทำให้ไก่ฆอและมีเนื้อสัมผัสนุ่มและความหวานของเนื้อไก่ยังคงอยู่

 

ไก่ฆอและ คุณค่า และสถานภาพปัจจุบัน

1) คุณค่าด้านการรักษารสชาติ และการสืบสานให้ยั่งยืน ไก่ฆอและมีกรรมวิธีการปรุงที่มีลักษณะเฉพาะเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมสืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน ทุกขั้นตอนการปรุงล้วนต้องใช้เคล็ดลับองค์ความรู้ทางภูมิปัญญา เช่น ความพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบให้มีคุณภาพ เพื่อการถนอมให้น้ำแกงไก่ฆอและเก็บไว้ได้นานถึง 2 วัน โดยไม่เสียรสชาติ ซึ่งเป็นวิธีการทางธรรมชาติโดยใช้องค์ความรู้ทางภูมิปัญญา หรือขั้นตอนการปรุงน้ำแกงให้ได้รสชาติกลมกล่อมหวานแตะลิ้น อันเป็นรสชาติดั้งเดิมที่เป็นอัตลักษณ์ของไก่ฆอและ ผู้ปรุงจำเป็นจะต้องใช้ประสบการณ์ ฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก จากครูภูมิปัญญาที่ทำไก่ฆอและ เรียนรู้ระหว่างการทำงาน เรียนรู้ผ่านการสังเกต ใช้ความรู้ที่ฝังลึกในคน ฝังอยู่ในความคิด ที่คนได้มาจากประสบการณ์ ที่สั่งสมมานาน จากการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเชื่อมโยง จนเป็นความรู้ที่มีคุณค่าสูง ที่ฝังลึกไม่สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่เปิดเผยได้ทั้งหมด ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้มีคุณค่าที่ควรธำรงรักษารสชาติ คุณค่าต่อการสืบสาน ส่งต่อให้ลูกหลานต่อไปให้ยั่งยืน

2) คุณค่าด้านเศรษฐกิจ

การทำไก่ฆอและทำให้เกิดคุณค่าด้านเศรษฐกิจของจังหวัดของผู้ประกอบการ ของคนในชุมชน และผู้เกี่ยวข้องกับอาชีพไก่ฆอและ มีรายได้ เกิดการจ้างงานในพื้นที่ที่ผลิตไก่ฆอและ ตลอดจนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้น ซึ่งเป็นการใช้องค์ความรู้ภูมิปัญญาที่ได้รับการสั่งสมถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มีมูลค่าขึ้น กล่าวคือ “จากมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีคุณค่า สู่การสร้างมูลค่า”

3) คุณค่าด้านจิตใจและการรับรู้ตัวตน

การคงอยู่ของอาชีพการทำไก่ฆอและทำให้เกิดคุณค่า ด้านจิตใจและการรับรู้ตัวตน ผู้ที่เป็นเจ้าของภูมิปัญญาจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในอาหารประจำถิ่นตนเอง ภูมิใจในวัฒนธรรมภูมิปัญญาด้านอาหารที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ จนเกิดความตระหนัก สำนึกรักภูมิปัญญาอาหารในชุมชนตนเอง เกิดการหวงแหน ตลอดจนเกิดการรับรู้ตัวตน รับรู้อัตลักษณ์แห่งตน

4) คุณค่าด้านการสื่อสารภาพลักษณ์

ไก่ฆอและนับว่าเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ ที่มักจะใช้ขึ้นโต๊ะในงานประเพณี และวันสำคัญต่างๆ เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี ปัจจุบันไก่ฆอและปัตตานีมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ถามหา และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดปัตตานีมักจะถามหาหรือแวะชิมไก่ฆอและ และซื้อเป็นของฝากให้ครอบครัว มิตรสหาย จนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นต้องหาโอกาสมาลิ้มลองสักครั้งในชีวิต จึงมีคุณค่าด้านภาพลักษณ์ของอาหารประจำถิ่นปัตตานี ภาพลักษณ์ความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดปัตตานี ซึ่งสามารถส่งเสริมไปสู่การท่องเที่ยวเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้าน Gastronomy ในอนาคต โดยนักท่องเที่ยวจะให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมอาหาร ความเกี่ยวพันกับวิถีชีวิต ประสบการณ์การได้สัมผัสอาหารทางวัฒนธรรม การจดจำภาพลักษณ์ของอาหาร และผลิตภัณฑ์อาหารของฝาก (Food souvenirs) ที่เลือกซื้อกลับไปฝากคนในครอบครัวหรือมิตรสหาย ซึ่งไก่ฆอและสามารถสื่อถึงภาพลักษณ์ สร้างความทรงจำ ความเป็นอัตลักษณ์ ความเป็นของแท้ ให้แก่นักท่องเที่ยวที่เป็นผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

5) คุณค่าทางทางโภชนาการ

ไก่ฆอและมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณภาพ กรรมวิธีการทำให้เนื้อไก่สุกโดยการย่างซึ่งเป็นการกำจัดไขมันออกจากไก่ รวมทั้งเครื่องแกงอุดมด้วยสมุนไพรซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดี ตลอดจนกลิ่นหอมกรุ่นจากหอมแดงที่ใช้เวลาเคี่ยวนาน 2 ชั่วโมง ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคเจริญอาหาร

 

ไก่ฆอและ : สถานภาพปัจจุบันของการถ่ายทอดความรู้

          จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันจังหวัดปัตตานีมีผู้จำหน่ายไก่ฆอและหลักๆ จำนวนมากกว่า 60 ราย  พบอยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดปัตตานี ผู้จำหน่ายส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปี ส่วนใหญ่ยังขาดทายาทผู้สืบทอด ในอนาคตอาจทำให้จำนวนผู้จำหน่ายลดลง ซึ่งสวนทางกับกระแสความนิยมบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น ไก่ฆอและปัตตานีมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ถามหา และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดปัตตานีมักจะถามหาหรือแวะชิมไก่ฆอและ และซื้อกลับไปเป็นของฝาก จนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่นต้องหาโอกาสมาลิ้มลองสักครั้งในชีวิต ตลอดจนได้มีการยกระดับไก่ฆอและให้เป็น 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste จึงควรให้ความสำคัญและตระหนักถึงการคงอยู่ ทายาทการสืบทอด และวิธีการปรุงอาหารตามสูตรดั้งเดิม ความแท้ ความเป็นเอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ของอาหารถิ่นปัตตานี  โดยให้ความสำคัญกับสูตรอาหารดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้คิดวิธีการปรุงอาหาร เพื่อให้อาหารดังเช่นไก่ฆอและ คงอยู่ต่อไปในวิถีชีวิตของคนปัตตานี ในอนาคตอาจยกระดับให้เป็นอาหารยั่งยืน (Sustainable food)

ผู้เรียบเรียง: ดร.นิปาตีเมาะ หะยีหามะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

 

……………………………………………………………………………………………………………….

เอกสารอ้างอิง

กรมศิลปากร. (2542). วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัด

ปัตตานี.กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว.

          อุมาวดี อักษรแก้ว. (2553). การการพัฒนากระบวนการผลิตไก่ฆอและ หมู่ที่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี. ปริญญารัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น    

มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

พัชรินทร์ ภักดีฉนวน ประกายแก้ว ศุภอักษร ใบศรี สร้อยสน และชุมพร หนูเมือง. (2560). ผลของเทคนิค Sous Vide และไนไตรท์ต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไก่ฆอและ. ทุนสนับสนุนการวิจัยจากศูนย์วิทยาศาสตร์อาหารฮาลาล ภาควิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.

นายยัมลูวัน อีซอ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 23/6 ถนนรามโกมุท หมู่ที่ 7 ตำบลบานา อำเภอเมือง    จังหวัดปัตตานี

นางคอลีเยาะ เจ๊ะอาลี. (2567). สัมภาษณ์ที่ 19/28 ถนนรามโกมุท หมู่ 10 ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

นายเอกอดุลย์ สามะอาลี. (2567). สัมภาษณ์ที่ 26/1 ถนนรามโกมุท หมู่ 7 ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

นางฮามีดะห์ อูเซ็ง. (2567). สัมภาษณ์ที่ 3 หมู่ 3 ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี

          นางสาวนิมุสะริอ๊ะ นิแว. (2567). สัมภาษณ์ที่ 33 ซอยตลาดสด ถนนสายบุรี อำเภอสายบุรี  จังหวัดปัตตานี

นางแมะซา ฮาแว. (2567). สัมภาษณ์ที่ 90/4 ถนนลาเมาะบก ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี

นางรอลีย๊ะ ตาเย๊ะ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 90/4 ถนนลาเมาะบก ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี  จังหวัดปัตตานี

นางแมะซง ยูโซ๊ะ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 100  ถนนลาเมาะบก ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี  จังหวัดปัตตานี

นางสะน๊ะ ดาราวี. (2567). สัมภาษณ์ที่ 50/2 หมู่ 7 ตำบลบ้านกลาง อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี

นางหวันหย๊ะ อับดุลบุตร. (2567). สัมภาษณ์ที่ 15/2 หมู่ 3 ตำบลถนน อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี

นางสาวแอเซาะ ซะอ๊ะ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 20/1 หมู่ 1 ตำบลตะโละแมะนา อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี

นางสาวดูอีต้า ยีกะจิ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 102/2 หมู่ 9 ตำบลแม่ลาน อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี

นางสุดา มะเด็ง. (2567). สัมภาษณ์ที่  180 หมู่ 7 ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

นางมูหน๊ะ แก้วกัมเส็น. (2567). สัมภาษณ์ที่  157 หมู่ 7 ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

นางพาสีนะ  สะอิ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 50 หมู่ 1 ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

          นางสาวโนรีด้า หะยีดอเลาะ. (2567). สัมภาษณ์ที่  50 หมู่ ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

          นางนัจรี บาซอ. (2567). สัมภาษณ์ที่ 3/1 หมู่ 2 (คลองหิน) ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี

ดอกเกลือ (Fleur de sel): ผลึกเกลือแรกในแปลงนาเกลือหวานปัตตานี

เมื่อฤดูร้อนย่างกรายเข้าสู่ภาคใต้ ช่วงมีนาคมถึงเมษายน มีแสงแดด ลมพัดแรง เป็นช่วงที่น้ำกร่อยที่ขังในนาเกลือตกผลึกเป็นเกลือ แต่ก่อนที่จะเก็บผลผลิตเกลือมีสิ่งหนึ่งน่าสนใจและเป็นที่ต้องการอย่างมากในวงการอาหารและเวชภัณฑ์ นั่นคือ ดอกเกลือ หรือผลึกเกลือบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและความงาม

ดอกเกลือ (Fleur de sel) flower of salt คือผลึกเกลือแรกในแปลงนาเกลือ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม มีขนาดเล็ก เกาะลอยกันเป็นแพ  มีความบริสุทธิ์ มีคุณค่าทางโภชนาการ มีไอโอดีนธรรมชาติ โซเดียมต่ำ รสกลมกล่อม ไม่เค็มมาก คุณสมบัติของดอกเกลือถือว่าดีเยี่ยม ใช้บริโภคจะดีมาก นอกจากนี้แมกนีเซียมคลอไรด์ในองค์ประกอบของดอกเกลือมีผลต่อผิวพรรณช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บความชุ่มชื้น ลดความหยาบกร้าน ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบของผิวได้

ดอกเกลือเป็นผลผลิตแรกที่เกิดขึ้นในแปลงนาปลงของชาวนาเกลือปัตตานีเป็นแปลงนาน้ำตื้น ชาวนาขังน้ำปริมาณน้อยระดับน้ำเกลือสูงเพียง 3-4 เซนติเมตร เมื่อเกลือตกผลึกแล้ว ทำให้เก็บดอกเกลือได้ยาก ต้องอาศัยความชำนาญในการช้อนดอกเกลือ ต้องทำอย่างเบามือ เพื่อให้ดอกเกลือค่อนข้างสะอาด ระมัดระวังไม่ให้โคลนผิวดินติดขึ้นมาด้วย ดอกเกลือของปัตตานีจะเก็บได้ช้ากว่าทางบ้านแหลม เพชรบุรี หรือสมุทรสาคร เนื่องจากแปลงนาเกลือบ้านแหลมจะมีขนาดใหญ่กว่าที่ปัตตานี ขังน้ำได้ในปริมาณมาก เก็บได้ง่ายกว่า

การเก็บดอกเกลือ

ช่วงเวลาในการเก็บดอกเกลือนั้นเราจะเก็บช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัดก่อนที่ชาวนาเกลือจะมาเคาะเก็บเกลือในตอนเย็น เพราะจะมีดอกเกลือเกาะเป็นแพลอยอยู่เหนือน้ำ โดยอุปกรณ์การเก็บดอกเกลือ หลักๆที่ต้องมีคือกระชอน และถังใส่ผ้าขาวบางมารองในถังเก็บจะมีตะกร้าเป็นตะแกรงไว้กรองน้ำเกลือส่วนเกิน

การเก็บดอกเกลือนั้นขั้นแรกนำกระชอนลงไปค่อยๆช้อน อย่างเบามือ ช้าๆ เก็บดอกเกลือบนผิวน้ำที่เกาะลอยกันเป็นแพ  จะไม่เอียงไปเพราะจะโดนโคลนข้างล่างขึ้นมา เมื่อค่อยๆช้อนเสร็จแล้ว ก็เขย่าให้น้ำส่วนเกินออก แต่หากมีสิ่งอื่นเช่นเกสรดอกหญ้า สาหร่าย เศษที่เห็นชัดๆ ก็จะเก็บเอาออกทันที และหากเปื้อนโคลนก็จะไปล้างเขย่ากับน้ำในแปลงบริเวณที่สะอาด จากนั้นก็ขึ้นไปเทใส่ถังที่มีผ้าขาวบางกรองน้ำส่วนเกินอีกชั้น เนื่องจากเกลือปัตตานีมีความชื้นสูงเพราะใช้น้ำกร่อยจากอ่าวปัตตานีแล้วมาทำเกลือหรือดอกเกลือ เมื่อเก็บเกลือมาคนโบราณก็จะนำไปสตุในกระทะ เป็นการคั่วไฟ เพื่อจะไล่ความชื้น แต่ในปัจจุบันจะใช้เครื่องอบลมร้อนมาไล่ความชื้นออกไป เราจึงได้เกลือหรือดอกเกลือที่บริสุทธิ์ ขาว สะอาด ถนอมดอกเกลือเพื่อใช้งานต่อไป

เนื่องจากการขังน้ำในแปลงนาเกลือน้อย ทำให้เก็บดอกเกลือยาก ชาวนาเกลือปัตตานีจึงไม่นิยมเก็บดอกเกลือ ทำให้ราคาการขายดอกเกลือสูง จากการสอบถามชาวนาเกลือราคาของดอกเกลือจะตกประมาณ 200 – 250 บาท ต่อกิโลกรัม หากมีการต่อยอดผลิตภัณฑ์ สามารถที่จะต่อยอดไปได้ไกล เพราะเป็นที่ต้องต้องการในธุรกิจชูรส ปรุงอาหาร ประกอบสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์จากดอกเกลือ

ผลิตภัณฑ์จากดอกเกลือมีหลายประเภท ดังนี้

1.      เกลือสำหรับปรุงอาหาร ดอกเกลือเป็นเกลือบริสุทธิ์ที่มีแร่ธาตุสูง นิยมใช้ปรุงอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม นิยมใช้โรยหน้าอาหาร เช่น สลัด สเต็ก ปลา หรือใช้ทำซอสต่างๆ

2.      เกลือสำหรับอาบน้ำ ดอกเกลือสามารถใช้ผสมน้ำอาบเพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียน กระจ่างใส และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3.      เกลือสำหรับขัดผิวดอกเกลือสามารถนำมาผสมกับน้ำมันมะกอกหรือโยเกิร์ต เพื่อใช้ขัดผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และทำให้ผิวนุ่มนวล

4.      สบู่ดอกเกลือ สบู่ดอกเกลือมีคุณสมบัติคล้ายกับเกลือสำหรับอาบน้ำ ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก ขจัดเซลล์ผิวเก่า และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

5.      ยาสีฟันดอกเกลือ ยาสีฟันดอกเกลือมีคุณสมบัติช่วยขจัดคราบพลัคและแบคทีเรียในช่องปาก ช่วยให้ฟันขาวสะอาด และลมหายใจหอมสดชื่น

6.      ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ดอกเกลือยังสามารถนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีก เช่น เทียนหอม ครีมบำรุงผิว โลชั่น และอื่นๆ

เรียบเรียงบทความโดย:

นายซันนูซี การีจิ นักวิชาการศึกษา

 .

ส่วนหนึ่งจากการสัมภาษณ์ นางสาวนราวดี โลหะจินดา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ ขณะลงพื้นที่วิจัยเก็บข้อมูลนาเกลือปัตตานี

.

อ้างอิง:

จินดารัตน์ สิริวิจักษณ์. (2024). มหัศจรรย์ “ดอกเกลือ” กับคุณประโยชน์รอบด้าน , สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2567. จาก. https://www.sanook.com/health/19313/

ประเพณีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว – Chao Mae Lim Ko Niao Festival

งานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นงานประเพณีที่ทำกันทุกปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามจันทรคติของจีน คือหลังวันตรุษจีน 15 วันของทุกปี หรือตรงกับวันเพ็ญ เดือน 3 ตามจันทรคติของไทย มีการสมโภชแห่รูปสลักไม้มะม่วงหิมพานต์ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและรูปพระอื่นๆ โดยอัญเชิญออกจากศาลมาประทับบนเกี้ยว ตามด้วยขบวนแห่ต่างๆ มีพิธีลุยน้ำข้ามแม่น้ำปัตตานี พิธีลุยไฟที่ตื่นเต้นเร้าใจและแสดงอภินิหาร เพื่อพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ กลายเป็นงานที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดปัตตานี เพราะมีผู้คนหลั่งไหลมาด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาต่อความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยผู้ร่วมพิธีจะต้องถือศีลกินเจอย่างน้อย 7 วันก่อนทำพิธี ในงานนี้จะมีชาวปัตตานีและชาวจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมพิธีกันเป็นจำนวนมาก มีการเซ่นไหว้ และเฉลิมฉลองกันเป็นที่สนุกสนาน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดปัตตานีจะไปสักการะที่ศาลเล่งจูเกียง ถนนอาเนาะรู อำเภอเมืองซึ่งมีรูปจำลองของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานอยู่ และอีกแห่งหนึ่งคือที่สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ตำบลกรือแซะ อยู่ในเขตอำเภอเมืองเช่นกัน ต่อมาได้มีการทำรูปจำลองนำไปประดิษฐานยังศาลเจ้าหรือมูลนิธิต่างๆ หลายแห่ง ตามประวัติเล่ากันว่าเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั้นกำเนิดในครอบครัวตระกูลลิ้ม ในสมัยพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์เหม็ง ราวๆ พ.ศ. 2065-2109 มีพี่น้องชายหญิงหลายคนมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ ลิ้มโต๊ะเคี่ยม”  รับราชการอยู่มณฑลฮกเกี้ยน เมื่อบิดาถึงแก่กรรมลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงได้ย้ายมารับราชการที่เมืองจั่วจิว ปล่อยให้ลิ้มกอเหนี่ยวและพี่น้องคนอื่นๆ เฝ้าดูแลมารดา เล่ากันว่าลิ้มโต๊ะเคี่ยมถูกขุนนางกังฉินใส่ร้ายว่าสมคบกับโจรสลัดญี่ปุ่นเข้าปล้นตีเมืองตามชายฝั่ง  จึงถูกทางราชการประกาศจับ ทำให้ต้องจำใจหลบหนีออกจากประเทศจีนกับพรรคพวกไปอาศัยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ต่อมาได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อค้า โดยได้สินค้าจากประเทศจีนบรรทุกเรือสำเภามาขายที่ประเทศไทย และท่าเรือสุดท้ายที่ขายสินค้าคือ
บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

เจ้าเมืองผู้ครอบครองเมืองกรือเซะสมัยนั้นเป็นชายไทยมุสลิม มีธิดาที่งามเลิศอยู่นางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของพ่อค้าในสมัยก่อนเมื่อนำเรือสินค้าเข้าไปจอดที่เมืองใดก็มักจะนำผ้าแพรพรรณและสิ่งของสวยๆ งามๆ ที่มีค่าขึ้นไปถวายเจ้าผู้ครองเมืองเป็นของกำนัลเพื่อผูกไมตรี ปรากฎว่าเป็นที่พอพระทัยของเจ้าผู้ครองเมืองเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองอย่างดีเป็นพิเศษต่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม เนื่องจากลิ้มโต๊ะเคี่ยมมีความรู้เป็นนายช่างผู้หล่อปืนใหญ่ 3 กระบอกคือศรีนครี มหาลาลอหรือมหาเหล่าหลอ และนางปัตตานีหรือนางพญาตานีให้เจ้าเมืองปัตตานีขณะนั้นเป็นที่พอพระทัยมาก จึงยกพระธิดาให้สมรสด้วย โดยลิ้มโต๊ะเคี่ยมยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามฝ่ายธิดาเจ้าเมือง เพราะยึดถือความรักเป็นใหญ่ รวมทั้งลูกเรือที่มากับลิ้มโต๊ะเคี่ยมทั้งหมดก็ไม่กลับประเทศจีน ยอมอยู่กับลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นนายที่เมืองกรือเซะ และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม มีภรรยาเป็นคนไทยมุสลิมในเมืองกรือเซะ

หลายปีต่อมามารดาซึ่งอยู่ที่ประเทศจีน ไม่เห็นบุตรชายกลับมาและไม่ส่งข่าว ก็มีความคิดถึงเป็นห่วงไม่เป็นอันกินอันนอน  ลิ้มกอเหนี่ยวกับน้องสาวอีกคนหนึ่งต่างก็มีความสงสารมารดา จึงรับอาสามารดาออกติดตามพี่ชาย ออกเดินทางโดยเรือสำเภาติดตามมาจนถึงประเทศไทย และได้พบพี่ชายที่บ้านกรือเซะ ได้พำนักอยู่เป็นเวลานานพอสมควรจึงได้ชักชวนให้พี่ชายกลับประเทศจีนเพราะคิดถึงมารดา แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมปฎิเสธ เนื่องด้วยกำลังเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างมัสยิดกรือเซะขณะนั้น ด้วยความกตัญญูต่อมารดาไม่อาจนำพี่ชายกลับบ้านได้ รวมทั้งแค้นใจและน้อยใจในตัวพี่ชายและมองเห็นแล้วว่าพี่ชายคงไม่ยอมกลับแน่นอน ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ตัดสินใจสละชีวิตตนเองประท้วงพี่ชาย โดยการผูกคอตายที่ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้กับมัสยิด โดยก่อนตายได้สาปแช่งไว้ว่า ขอให้การสร้างมัสยิดที่พี่ชายทำอยู่ไม่มีวันสำเร็จ ส่วนน้องสาวลิ้มกอเหนี่ยวเมื่อเห็นพี่สาวฆ่าตัวตายก็เลยฆ่าตัวตายตาม และลูกเรือที่มาด้วยทั้งหมด เห็นนายฆ่าตัวตายก็พากันฆ่าตัวตายตามนายโดยวิธีลงเรือแล่นออกไปในทะเลแล้วกระโดดน้ำตายหมดทุกคน เหลือทิ้งไว้แต่เรือสำเภา 9 ลำลอยอยู่ในทะเล ซึ่งเมื่อขาดการดูแลก็ชำรุดและจมทะเล คงเหลือไว้แต่เสากระโดงเรือ ซึ่งทำด้วยต้นสน ชูอยู่เหนือน้ำทะเล 9 ต้น บริเวณดังกล่าวต่อมาได้ชื่อว่า รูสะมิแล เป็นภาษามลายูซึ่งได้มาจาก รู แปลว่า สน” “สะมิแล แปลว่า เก้า รวมความแปลว่า สนเก้าต้น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ฝ่ายลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชาย เมื่อรู้ว่าต้องสูญเสียน้องสาวทั้ง 2 คนไปเพราะตนเองก็โศกเศร้าอาลัยยิ่งนัก จึงพร้อมกันจัดพิธีศพตามประเพณีจีนอย่างสมเกียรติให้ และได้ทำฮวงซุ้ยไว้ในบริเวณบ้านกรือเซะ ปัจจุบันมีการบูรณะให้เห็นปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ บรรดาคนจีนสมัยนั้น ได้ทราบซึ้งถึงความกตัญญู ซื่อสัตย์และรักษาคำมั่นสัญญาไปกราบไหว้บูชา ต่อมาฮวงซุ้ยและต้นมะม่วงหิมพานต์ได้เกิดนิมิตและอภินิหารให้ชาวบ้านที่ไปบนบานหายเจ็บไข้ได้ป่วยและมีโชคลาภ ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง เป็นที่เคารพสักการะมาจนบัดนี้ไม่ได้มีการย้ายฮวงซุ้ยแต่อย่างใด ต่อมาได้นำเอาต้นมะม่วงหิมพานต์มาแกะสลักเป็นองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวประดิษฐานไว้ในศาลเจ้าที่บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโล๊ะให้ประชาชนสักการะบูชาด้วย เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2427 พระจีนคณานุรักษ์ (ตันจูล่าย) ซึ่งเป็นหัวหน้าชุมชนจีนขณะนั้น เห็นว่าศาลเจ้าซึ่งประดิษฐานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่หมู่บ้านกรือเซะ ชำรุดทรุดโทรมและอยู่ห่างไกลเป็นระยะทางถึงประมาณ 8 กิโลเมตรจากเมือง จึงได้อัญเชิญองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจากบ้านกรือเซะมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าโจวซูกงซึ่งอยู่ในตลาดจีนเมืองปัตตานี และเรียกชื่อศาลเจ้าใหม่ว่า ศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่บูรณะจากศาลเจ้าซูก๋งให้กว้างขวาง ศาลเจ้าแห่งใหม่นี้มีผู้คนเดินทางมาสักการะบูชาจากทุกทิศทุกภาคของประเทศ จนคณะกรรมการที่ช่วยกันดูแลได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิ ตั้งอยู่เลขที่ 63 ถนนอาเนาะรู ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเก่า เดิมเรียก ตลาดจีนเมืองปัตตานีสร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง ศักราชบ้วนเละ ปีที่ 2 ตรงกับ พ.ศ. 2117 สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า ศาลเจ้าซูก๋ง หรือ ศาลโจ๊วซูกงเป็นศาลเจ้าประจำชุมชนชาวจีน มีองค์พระหมอหรือโจ๊วซูกงมาเป็นเทพประธานประจำศาลเจ้า  อาคารศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นศาลเจ้าชั้นเดียวแบบจีน แบ่งเป็นโถงกลาง ปีกขวาและปีกซ้ายโถงกลางชั้นในมีแท่นบูชา 3 แท่น แท่นกลางคือองค์พระหมอหรือโจ๊วซูกงเป็นเทพประธาน ถือเป็นเทพเจ้าที่ช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ และเจ้าแม่ทับทิม (หม่าโจ๊วโป่) หรือเจ้าแม่สมุทร แท่นบูชาทางด้านซ้ายเป็นองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และน้องสาวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและการค้าขาย แท่นบูชาทางด้านขวาเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าที่หรือแป๊ะกง และเจ้าพ่อเสือ หรือตั่วเล่าเอี๊ย เหนือประตูทางเข้าโถงกลางจะมีหิ้งบูชาองค์เจ้าที่ผู้รักษาประตูหรือหมึ่งซิ้ง

โถงทางขวามีรูปปูนปั้นติดฝาผนัง คือเทพซาเจียงกุน ถัดไปทางซ้ายมีแท่นบูชาประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม

โถงทางซ้ายเป็นแท่นบูชาประดิษฐานเทพเจ้ากวนอูหรือองค์พระกุนเต้กุน

ลานด้านหน้าตรงข้ามศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นแท่นบูชาเทวดา และสถูปสำหรับเผากระดาษเงินกระดาษทอง

ปัจจุบันนี้สามารถขยายพื้นที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเป็นอันมาก มีลานหน้าศาลกว้างขวาง มีอัฒจรรย์สำหรับชมพิธีลุยไฟและมีโอ่งน้ำยักษ์ทาสีแดงสดสามารถจุน้ำได้ 9 หมื่นลิตร ซึ่งก็ล้วนมาจากอภินิหารและบารมีที่มาจากเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนั่นเอง งานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจะมีมโนห์รา งิ้ว และร้านค้าต่างๆ มาจำหน่ายสินค้าอย่างครึกครื้น ซึ่งก่อนวันแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในเดือน 3 ขึ้น 11, 12 และ 13 ค่ำทุกปีจะมีการสมโภชพระกวนอูกับพระเซี่ยงเต้เอี่ย ซึ่งเป็นพระประจำตระกูลคณานุรักษ์ที่หลวงสำเร็จกิจการจางวางเมืองปัตตานี ผู้เป็นบิดาของคุณพระจีนคณานุรักษ์นำมาจากประเทศจีน ซึ่งเดิมอัญเชิญประทับไว้ที่เหมืองที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 และมีการสมโภชอยู่แล้วเป็นประจำทุกปี คนงานในเหมืองแร่ส่วนใหญ่เป็นคนจีน ต่างก็เคารพสักการะพระประจำตระกูลคณานุรักษ์ ภายหลังได้อัญเชิญมาประทับไว้ที่บ้านเลขที่ 3 ถนนอาเนาะรู สมัยก่อนบ้านแถวถนนนปัตตานีภิรมย์ริมน้ำตลอดถึงแถวถนนอาเนาะรูทั้งหมด เป็นสถานที่ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานให้แก่หลวงสำเร็จกิจการจางวางเมืองปัตตานี เมื่อครั้งทำความดีความชอบอาสาออกรบครั้งที่ข้าศึกมาประชิดเมืองสงขลา ภายหลังลูกหลานได้รับแบ่งปันมรดาพากันขายแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น จึงยังคงเหลืออยู่บางช่วงของถนนปัตตานีภิรมย์และถนนอาเนาะรูเท่านั้น

ในงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวจะมีประชาชนที่เคารพนับถือศรัทธาในองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศเพื่อเคารพสักการะและเฝ้าชมบารมีของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว พิธีเริ่มตั้งแต่เวลาเช้าประมาณ 06.00 น. โดยมีชายหนุ่มชาวจังหวัดปัตตานีหามเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งประทับบนเกี้ยวจำนวน 4 คน ออกจากศาลเจ้าพร้อมกับพระองค์อื่นๆ ที่ประทับอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ออกไปแห่ทั่วเมืองปัตตานี พร้อมกับริ้วขบวนที่มีเด็กสาวชาวเมืองปัตตานีวัยต่างๆ เดินถือธูปหามกระเช้าดอกไม้และถือธงขนาดใหญ่ มีเด็กชายวัยรุ่นเล็กตีฉิ่ง ตีกลอง และถือธงขนาดเล็กแทบทุกคนที่เป็นผู้ชาย ในระหว่างการแห่นี้พระจะลงลุยน้ำโดยลงน้ำทั้งคนหามพระลอยไปข้ามแม่น้ำปัตตานีได้โดยไม่จม แม้ว่าคนหามจะว่ายน้ำไม่เป็นก็ตาม เมื่อเสร็จจากการลุยน้ำแล้วก็จะแห่พระต่อไปรอบเมือง โดยแวะเข้าไปในบ้านที่ตั้งโต๊ะกระถางธูปเทียนไว้หน้าบ้าน เพราะถ้าบ้านใดตั้งโต๊ะไว้เช่นนี้แสดงว่าต้องการอัญเชิญพระเข้าไปในบ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคล ทำมาค้าขึ้น หลังจากนั้นก็จะกลับศาลเจ้าเพื่อทำพิธีลุยไฟ การลุยไฟคือการที่คนหามทั้ง 4 เชิญพระซึ่งอยู่บนเกี้ยวเดินลุยเข้าไปในกองไฟใหญ่ ที่ได้นำถ่านไฟมาก่อจำนวนประมาณ 27 กระสอบข้าวสารมาประกอบพิธีที่บริเวณหน้าศาลเจ้า เจ้าหน้าที่ก่อไฟให้ไฟติดถ่านจนร้อนแดงจัดแล้วอัญเชิญพระเซ๋าซูกงหรือพระหมอเข้าลุยไฟเป็นองค์แรก โดยมีพระองค์อื่นๆ ลุยไฟตาม การลุยไฟนี้พระองค์หนึ่งๆ จะลุยไฟกี่เที่ยวก็ได้ คนหามพระสามารถเดินเหยียบผ่านบนกองไฟที่ลุกโชนท่วมศีรษะได้โดยไม่ไหม้ นับเป็นปาฏิหาริย์ที่อัศจรรย์ยิ่ง คนที่จะหามพระลุยไฟได้ต้องมีข้อแม้ว่า ร่างกายจะต้องสะอาด งดเว้นข้องเกี่ยวกับสตรีเพศอย่างเด็ดขาด บางคนจึงมานอนค้างที่ศาลเจ้า โดยนอนเฝ้าคานหามตลอดคืนเพื่อให้ร่างกายสะอาดอย่างแท้จริง และเป็นการเฝ้าคานหามมิให้ผู้อื่นแย่งไปหามก่อนตน

นอกจากนี้ในงานสมโภชจะมีผู้คนมาทำบุญกันมากมาย บ้างก็มายืมเงินเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวไปเป็นเงินก้นถุงสำหรับทำการค้าขาย เช่นปีนี้ขอยืมไป 100 บาท ปีหน้าก็เอาเงินมาคืน 200 บาท  บ้างก็นำของไปถวายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เช่น ส้ม องุ่น ขนมเต่า เป็นต้น บางคนก็ทำบุญโดยมาขอซื้อขนมหรือของที่มีผู้นำมาถวายเจ้าแม่เพื่อเป็นสิริมงคล ในการซื้อของเหล่านี้จะมีเจ้าหน้าที่ทอดลูกเบี้ยถามราคา เช่นขนมเต่าตัวนี้ราคา 100 บาทได้ไหมหากเป็นคนจนอาจลดราคาลงเป็น 50 บาท แต่ถ้าเป็นคนรวยอาจเพิ่มราคาเป็น 150 บาท แต่อาจมีบางคนที่มีฐานะยากจนมาช่วยเหลือและรับใช้งานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เมื่อขอขนมหรือผลไม้เอาไปรับประทาน เจ้าแม่ก็ให้โดยไม่คิดเงิน เมื่อหายแล้วจะแก้บนเป็นสร้อยคอ แหวน ซึ่งเป็นของคำแท้ๆ นอกจากนี้ในการเซ่นไหว้สักการะเจ้าแม่ ยังมีเครื่องกระดาษธูปเทียน นัยว่าท่านโปรดผ้าแพรสีแดง และสร้อยมุกๆ นั้นที่ปฏิบัติกันอยู่ก็คือเมื่อไหว้และอธิฐานแล้วก็จะนำไปคล้องที่ศอเจ้าแม่ทั้ง 2 เส้นและนำคืนมา เส้นคล้องคอผู้ไหว้นำกลับไปบูชาที่บ้าน

_____________________________________

บทความวิชาการ

เรียบเรียง/เขียน โดย นางอ้อมใจ  วงษ์มณฑา  นักวิชาการอุดมศึกษา

มาแกแต : วิถีแห่งการช่วยเหลือ โอบอุ้มของชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ภายหลังผ่านพ้นจากหยาดฝนเมื่อเดือนที่ผ่านมา สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้ได้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอีกครั้ง แสงแดดและสายลมเริ่มแผดเผาและลามเลียผิวกายของผู้คนในพื้นที่รวมทั้งบรรดาสรรพสัตว์และต้นไม้ใบหญ้า กิจกรรมและประเพณีในฤดูกาลนี้ที่เราสามารถสังเกตุอย่างชัดเจนและกระจายตัวราวดอกเห็ดในพื้นนที่แห่งนี้ คือ งานมาแกแตมีความหมายตามตัวอักษรคือ กินน้ำชา ความหมายโดยรวมตามบริบทของพื้นที่ คือ งานบุญเพื่อการระดมทุนให้แก่โรงเรียนตาดีกา ปอเนาะ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม มัสยิด หรือแม้กระทั่งการระดมเพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะไปศึกษาด้านศาสนาต่อยังต่างประเทศหรือเพื่อการช่วยเหลือกรณีเกิดอุบัติเหตุ เภทภัยต่าง ๆ แก่ครอบครัวที่มีความจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้านการเงิน

เสียงประกาศเรียกร้องเชิญแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานมาแกแตภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามย่านชุมชนกรือเซะดังก้องไปถึงริมถนนระหว่างบริเวณที่พวกเรากำลังจะจอดรถ ระหว่างสองข้างทางก่อนถึงบริเวณโรงเรียนที่จัดงานมีทีมนักเรียน มีกลุ่มเยาวชนโบกมือและถือปี๊บสำหรับบรรจุเงินเพื่อขอระดมทุนในการจัดงานมาแกแตของโรงเรียน โดยผู้ขับขี่ยานพาหนะจะร่วมบริจาคมากน้อยหรือไม่ร่วมด้วยก็แล้วแต่จิตศรัทธา บางแห่งจะมีการเตรียมน้ำดื่ม 1 ขวดเพื่อมอบเป็นของสมนาคุณแก่ผู้บริจาคอีกด้วย

วิถีมาแกแตของพื้นที่ชายแดนใต้เป็นเช่นนี้มานานนมแล้วตั้งแต่ฉันจำความได้ เพียงแต่รูปแบบบางอย่างอาจมีการปรับเปลี่ยนไปบ้างตามยุคสมัย แต่โครงสร้างและเป้าหมายโดยรวมก็ยังคงเดิม นั่นคือวิถีแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยการพึ่งพาแรงกายแรงใจจากชุมชน ญาติมิตร ผู้คนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่มีใจที่ที่ต้องการช่วยเหลือกัน

Article%20Makaetae%20%281%29

ในบริเวณงาน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเที่ยง เราจึงพบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา หลากหลายอาชีพมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางเดียวกันคือโรงเรียนที่จัดงานมาแกแตแห่งนี้ ด้านหน้าโรงเรียนถูกประดับประดาด้วยธงดอกไม้ทางมะพร้าวเป็นสีแดงเขียว ทอง แวววาวระยิบระยับล้อกับแสงอาทิตย์ เด็กนักเรียนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนยืนต้อนรับแขกเหรื่อพร้อมเชื้อเชิญเข้าสู่บริเวณงานฯ ชายวัยกลางคนและสูงวัยอีกประมาณ 3-4 คน กำลังสลาม*มือกับคนรู้จักและแขกที่เข้าสู่บริเวณงานด้านซ้ายมือ เมื่อเข้าไปสู่บริเวณโรงเรียนด้านขวามือจะมีเต็นท์ขนาดกลางกางอยู่และมีนักเรียน 6 คนยืนขายเครื่องข้าวยำ น้ำบูดู ขนมพื้นบ้านมลายู เช่น ฆลอเมาะอาบู ยำสาหร่ายผมนาง และเรียกร้องเชิญชวนให้คนเข้ามาอุดหนุนสินค้าเพื่อระดมทุนให้แก่โรงเรียน

ฉันและเพื่อนอีกคนหนึ่งเดินด้วยกันไปยังจุดกางเต็นท์เพื่อทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ในยามเที่ยงเช่นนี้โต๊ะและเก้าอี้ทุกตัวเหมือนจะมีคนนั่งและจับจองเกือบเต็มพื้นที่ สายตาฉันประสบพบกับรุ่นน้องและเพื่อนเก่าสมัยเรียนปริญญาตรีซึ่งเป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งนี้ จึงเดินเข้าไปทักทายและสลามจากนั้นแยกย้ายหาที่นั่ง ตรงที่ใกล้ ๆ กับที่เรายืนอยู่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งนั่งทานข้าวอยู่ก่อนแล้ว เพื่อนฉันทักทายและสอบถามว่าที่นั่งว่างหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าว่าง เราจึงขออนุญาตร่วมนั่งทานข้าวด้วยกันกับพวกเขา

อาหารที่ใช้สำหรับเลี้ยงแขกในงานมาแกแตส่วนใหญ่ตามประเพณีนิยมคือ ข้าวยำ ไข่ต้ม ข้าวเกรียบ โดยข้าวเกรียบกับไข่ต้มนั้น โดยส่วนใหญ่ทางเจ้าภาพมักจะให้เด็ก ๆ หรือนักเรียนทำหน้าที่เร่ขายเพื่อหางบพิเศษภายในงาน โดยในอดีตสมัยเมื่อยังเด็กฉันเองก็เคยทำหน้าที่นี้เมื่อครั้งมีการจัดงานมาแกแตในหมู่บ้าน นอกจากนี้บริเวณรอบๆ งานยังมีเครื่องเคียงกับข้าวอื่น ๆ ที่วางขายเพื่อให้แขกได้ลิ้มรสอร่อยเพิ่มเติม โดยอาจจ่ายเงินเพื่ออีกสักหน่อย เพื่อลิ้มลองรสชาติในอีกหลากหลายเมนู เช่น หอยฆอและ ไก่ทอด ปลาย่าง และอื่น ๆ ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่ง คือ งานมาแกแตส่วนใหญ่ไม่มีน้ำชาให้ดื่ม ซึ่งบางท่านอาจจะสงสัยว่าชื่องานมาแกแตคือดื่มชาแต่ทำไมไม่มีน้ำชาให้ดื่ม ยกเว้นบางงานที่เจ้าภาพจะมีการเตรียมแตออหรือชาดำร้อนเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานมาแกแตแบบระดมทุนรายเพื่อช่วยเหลือให้แกครอบครัวหรือรายบุคคลมากกว่า อนึ่งในประเด็นนี้ฉันเองก็จะต้องพยายามหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถอ้างอิงได้เพิ่มเติมเพื่อเป็นคำตอบในเรื่องนี้ต่อไปเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในอดีตงานมาแกแตเจ้าภาพแทบทุกงานเกือบจะไม่ต้องใช้งบลงทุนในการจัดงานมากมาย เนื่องจากวัตถุดิบในการจัดงาน เช่น ด้านการเตรียมการเรื่องอาหาร ข้าวสาร มะพร้าว ปลา ผัก น้ำบูดู ข้าวเกรียบและอื่น ๆ ล้วนมาจากการบริจาคร่วมแรงร่วมใจจากชาวบ้านในชุมชน รวมทั้งแรงงานในการช่วยงานต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน เพราะในสมัยก่อนผู้คนในพื้นที่แห่งนี้ล้วนมีศูนย์รวมใจในการอุทิศแรงกายแรงใจและความคิด ในการทำงานเพื่อศาสนา การช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อมีงานมาแกแตเกิดขึ้น เจ้าภาพจึงล้วนได้รับยอดเงินบริจาคอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยซึ่งมีความแตกต่างจากยุคสมัยนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต้นทุนการจัดงาน วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจต้องมีการซื้อหรือจ้างแรงงานบ้างในบางงาน

นิยามศัพท์เฉพาะ

  สลาม หมายถึง การสัมผัสมือเพื่อทักทายหรืออำลาตามรูปแบบของชาวมุสลิม

_____________________________________

บทความวิชาการ

มาแกแต : วิถีแห่งการช่วยเหลือ โอบอุ้มของชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

เรียบเรียง/เขียน โดย นางสาวรอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัย

A.I. กับงานศิลปะ ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้

หากได้ติดตามข่าวแวดวงไอทีในช่วงนี้  จะเห็นได้ว่าเรื่อง AI นั้นเป็นที่พูดถึง และมาอรง เป็นอันดับต้นๆ นับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว จากที่บริษัท OPEN AI ได้เปิดตัว ChatGPT ที่สามารถทำตามคำสั่งป้อนข้อมูล มีความสามารถทำได้หลายๆอย่าง ทำให้หลายๆ บริษัทชั้นนำในด้านไอที ทยอยเปิดตัว AI ของตัวเอง ทั้ง Google เปิด Bard, Microsoft ก็เปิดตัว Copilot ที่ร่วมมือกับ ChatGPT ได้, มี Midjourney มี DALLE3 เป็นต้น นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เราได้เห็นความสามารถต่างๆของเอไอ ไม่ว่าจะเรื่องการรับคำสั่ง ถามอะไรตอบได้หมด สั่งเขียนโปรแกรมก็ทำได้ วาดรูปตามคำสั่งก็ทำได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งความสามารถที่เอไอนั้นสามารถทำได้ แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงและมีการถกเถียงกันอย่างมากคือการละเมิดลิขสิทธิ์ในการป้อนข้อมูลหรือสอนเอไอเจอเจอเรทออกมา โดยบางส่วนมองว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดเพราะละเมิดภาพต่างๆ บางส่วนก็มองว่าเอไอจะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเราได้ ทำให้ทำงานได้ไวขึ้น

ในวงการศิลปะก็มีการพูดถึงในเรื่องของการนำงานศิลปะที่ไม่ได้อนุญาติมาเจนเนอเรทออกมาเป็นรูปตามคำสั่ง โดยศิลปะจากเอไอถูกวิพากย์วิจารณ์กันอย่างมากมายในช่วงหลังจากการเปิดตัว ในวันนี้รายการของเราจะขอนำเสนอเรื่อง “A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้ จะร่วมวิเคราะห์ ไปพร้อมๆกัน

 

A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้

 

เอไอ (Artificial Intelligence) คือเทคโนโลยีที่สามารถจำลองความคิดและการเรียนรู้ของมนุษย์ได้ ในปัจจุบัน เอไอมีบทบาทสำคัญในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การธุรกิจ การสื่อสาร การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เอไอก็ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้งานเป็นไปได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เอไอยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้ด้วย

1. งานศิลปะจากเอไอ (AI art) คือผลงานที่สร้างขึ้นโดยใช้เอไอเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ซึ่งอาจเป็นการใช้เอไอเพื่อช่วยสร้างรายละเอียด องค์ประกอบ สไตล์ หรือการเรนเดอร์เสมือนจริง หรืออาจเป็นการใช้เอไอเพื่อสร้างผลงานออกมาโดยอิสระ โดยอาศัยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในระบบ เช่น คำ ภาพ หรือเสียง

2.งานศิลปะจากเอไอมีความน่าสนใจและน่าสังเกต ไม่เพียงเพราะความสวยงามหรือความแปลกใหม่ แต่ยังเพราะความสามารถของเอไอที่สามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบของข้อมูลได้ และสามารถสร้างผลงานที่มีความหลากหลาย ความซับซ้อน และความเป็นเอกลักษณ์ได้ ซึ่งบางครั้งอาจเหนือกว่าความสามารถของมนุษย์

เอไอสามารถทำงานกับศิลปินได้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น

– เอไอเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น โดยใช้เอไอเพื่อช่วยสร้างรายละเอียด องค์ประกอบ สไตล์ หรือการเรนเดอร์เสมือนจริง¹²

– เอไอเป็นศิลปินในตัวเอง ที่สามารถสร้างผลงานออกมาโดยอิสระ โดยอาศัยข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในระบบ เช่น คำ ภาพ หรือเสียง

– เอไอเป็นผู้ช่วยที่ช่วยให้ศิลปินเรียนรู้และพัฒนาฝีมือของตนเอง โดยใช้เอไอเพื่อวิเคราะห์ วิจารณ์ และแนะนำผลงานของศิลปิน ทำให้เอไอและศิลปินสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประโยชน์ และสร้างผลงานที่น่าสนใจและมีคุณค่าได้

 

อย่างไรก็ตาม งานศิลปะจากเอไอก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่รับรองได้ว่าจะได้รับการยอมรับและเห็นคุณค่าจากทุกคน เพราะมีข้อถกเถียงและคำถามหลายอย่างที่เกิดขึ้นในวงการศิลปะ เกี่ยวกับการนำเอไอเข้ามามีส่วนร่วม บางคนอาจถือว่าเอไอเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงต้องมีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมและตัดสินใจ บางคนอาจถือว่าเอไอเป็นศิลปินในตัวเอง ที่มีความคิดและการแสดงออกทางศิลปะได้ และมีสิทธิ์ในผลงานที่สร้างขึ้น และบางคนอาจถือว่าเอไอเป็นอันตรายต่อวงการศิลปะ ที่ทำให้ศิลปินมนุษย์เสียความสำคัญ และลดทอนคุณค่าของการสร้างสรรค์จากจิตใจ

ดังนั้น การมาของเอไอในวงการศิลปะ จึงเป็นเรื่องที่มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับมุมมองและวัตถุประสงค์ของผู้เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เอไอเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและความเป็นไปได้สูง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ ดังนั้น มนุษย์จึงควรใช้เอไออย่างมีสติปัญญา และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านศิลปะหรือด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

 

ข้อความบทความข้างต้นนั้น ก็คือหนึ่งในบทความที่ให้ป้อนคำสั่งให้เอไอใน Bing ของ Microsoft เขียนและเรียบเรียงมาให้ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบนึงที่ผู้เขียนมองว่าเป็นเครื่องมือช่วยให้เราได้ทำงานได้ไวขึ้นอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นว่า ควรใช้เอไออย่างมีสติปัญญา ต้องนำมาวิเคราะห์อ่านและเรียบเรียง ตรวจสอบ คัดกรองด้วยตัวของเราเอง ในงานศิลปะที่เราให้เอไอช่วยก็นับเป็นอีกหนึ่งที่ต้องตวจสอบและคำนีงการใช้งานต่างๆอีกด้วย

และนี่ก็เป็นเรื่องราวของ A.I. กับงานศิลปะ: ความสามารถ ความท้าทาย และความเป็นไปได้ ท่านผู้ฟังคิดเห็นอย่างไรกับเอไอ ร่วมพูดคุยกันได้ครับ

_________________________________________________________________________________________________________________________________________________

Source:
Conversation with Bing, 04/01/2024

 เอไอ : รวมข้อถกเถียงในวงการศิลปะจาก AI หลังกระแส Midjourney – BBC News ไทย. https://www.bbc.com/thai/articles/c1rexy9d7nyo.

 AI วาดภาพเองได้แล้ว วงการศิลปะจะเป็นอย่างไร? ในวันที่ AI เริ่มยึดครอง. https://futuretrend.co/ai-and-art-industry/.

 วิเคราะห์ผลกระทบศิลปะจาก AI เข้ามาแทนที่หรือเติมเต็มวงการศิลปะ. https://bing.com/search?q=%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b9%84%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a8%e0%b8%b4%e0%b8%a5%e0%b8%9b%e0%b8%b0.

วิเคราะห์ผลกระทบศิลปะจาก AI เข้ามาแทนที่หรือเติมเต็มวงการศิลปะ. https://fastwork.co/blog/traditional-art-vs-ai/.

เมื่อ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะ… ในอนาคตจะมาแทนที่ศิลปิน…. https://droidsans.com/midjourney-is-that-ai-art-really-art-technology/.

AI วาดภาพเองได้แล้ว ศิลปินยังจำเป็นอยู่ไหม? วงการศิลปะจะเป็นอย่างไร ใน …. https://futuretrend.co/ai-and-art-industry/

เมื่อ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการศิลปะ… ในอนาคตจะมาแทนที่ศิลปิน…. https://droidsans.com/midjourney-is-that-ai-art-really-art-technology/.

AI วาดรูป เทรนด์การสร้างผลงานศิลปะ แทนที่ หรือ เติมเต็ม ฝีมือและ…. https://www.chula.ac.th/highlight/94907/.

ความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดภาคใต้

  การบันทึกเรื่องราวของผู้คนท้องถิ่นภาคใต้ในอดีตนิยมบันทึกไว้ในหนังสือบุดหรือสมุดข่อย ซึ่งทางภาคกลาง เรียกว่า สมุดไทย หนังสือบุดเป็นเอกสารโบราณที่เก่าแก่บางฉบับมีอายุหลายร้อยปี ส่วนใหญ่พบเห็นได้ตามวัดและบ้านเรือนของผู้คงแก่เรียนหรือปราชญ์ท้องถิ่น คำว่า “บุด” น่าจะมาจากคำว่า “ปุส.ตก” ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า “โปต.ถก” เดิมแปลว่า หนังสือ, ผ้า, เปลือกไม้ หนังสือบุดแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ “หนังสือบุดขาว” (สมุดไทยขาว) เนื้อกระดาษสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีดำ และ “หนังสือบุดดำ” (สมุดไทยดำ) เนื้อกระดาษสีดำเขียนด้วยตัวอักษรสีขาว หรือสีรงหรือสีทอง บางท้องถิ่นเรียกหนังสือบุดว่า หนังสือ “กริดหนา” ส่วนเนื้อหาที่เขียนมีหลากหลายสาขา เช่น เรื่องพุทธศาสนา สุภาษิตคำสอนประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ตำนาน โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ตำรายา เป็นต้น

หนังสือบุดถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมสรรพวิชาสาขาต่าง ๆ ที่นักปราชญ์ในท้องถิ่นได้แต่งหรือคัดลอกขึ้นเป็นองค์ความรู้ที่มีการถ่ายทอด และสืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน การบันทึกเนื้อหาในหนังสือบุดนิยมใช้อักษรและภาษาไทยและมีการใช้อักษรขอมประกอบบางส่วน หนังสือบุดนี้ชาวภาคใต้ในอดีตนิยมบันทึกเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองหรือด้วยวิธีการคัดลอกทั้งคัดลอกเอง และให้ผู้อื่นคัดลอก แล้วถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นสมบัติของวัด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการศึกษาในสมัยก่อนเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ศึกษา การสร้างการเขียน และการคัดลอกวรรณกรรม ที่เกิดขึ้นพบว่าส่วนใหญ่ผู้สร้างจะมีความเชื่อตรงกันคือขอให้การสร้างหนังสือนั้นเป็น ปัจจัยให้ได้ชาติภพที่ดีขึ้นเพราะความศรัทธาเชื่อถือในพระพุทธศาสนาและมีความเชื่อเกี่ยวกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้กระทำมาจะทำให้ได้เกิดใหม่ในชาติภพที่ดีมีความสมบูรณ์ด้วยประการต่างๆ ในชาติภพหน้า นอกจากนี้ชาวภาคใต้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดในด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ความเชื่อว่าถ้าทำให้หนังสือบุดชำรุดผู้นั้นจะตกนรกความเชื่อเกี่ยวกับการบรรลุโพธิญาณหรือนิพพาน ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดในยุคพระศรีอาริย์ ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค เป็นต้น ความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุด ส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกี่ยวกับพุทธศาสนา ไสยศาสตร์ และจริยวัตรของชาวภาคใต้ตัวอย่างความเชื่อเกี่ยวกับหนังสือบุดที่น่าสนใจมีดังนี้

๑.ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างหนังสือบุดเป็นพุทธบูชา ชาวใต้นิยมสร้างวรรณกรรมหนังสือบุดเป็นพุทธบูชา เพราะเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยทำให้บรรลุโพธิญาณหรือนิพพาน และให้เกิดทันศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยที่จะประสบกับความสุขความเจริญก้าวหน้าเป็นยุคที่ปราศจากความทุกข์

          ๒.ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้หนังสือบุดเป็นส่วนผสมวัตถุมงคล ชาวภาคใต้เชื่อว่าหนังสือบุดที่บันทึกคาถาอักขระเลขยันต์ด้วยอักษรขอมเป็นหนึ่งสื่อที่มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมนำไปเป็นส่วนผสมของการทำเครื่องรางของขลังเพราะเชื่อว่าจะทำให้วัตถุมงคลมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เช่น การเผาหนังสือบุดที่เป็นคัมภีร์ทางศาสนาหรืออักขระเลขยันต์เป็นผงผสมเพื่อทำพระเครื่องแบบต่าง ๆ เป็นต้น

๓.ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้หนังสือบุดดำเป็นยารักษาโรค โดยเชื่อว่าหนังสือบุดคำเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกได้ คนสมัยก่อนจึงนิยมตัดหนังสือบุดเพื่อนำไปม้วน จุดไฟสูบเป็นยาแก้โรคริดสีดวงจมูก สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดความเสียหาย และเป็นการทำลายหนังสือบุด 

๔.ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาหนังสือบุด ชาวใต้ในอดีตให้ความสำคัญกับหนังสือบุดและยกย่องผู้รู้หนังสือเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหนังสือที่เป็นคัมภีร์หรือหลักธรรมทางศาสนาและพระตำรากัลปนาวัดที่รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์ ดังนั้นเมื่อนำออกมาอ่านจึงต้องใส่พานทูนเหนือ ศีรษะกั้นร่มและมีการถวายบังคมเสียก่อน หนังสือนี้มีการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี บางแห่งนิยมเก็บรักษาไว้ในกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ที่สามารถป้องกันมดปลวกได้เป็นอย่างดี หรือไม่ก็นำไปห่อผ้าขาวไว้ การนำหนังสือออกมาอ่านผู้อ่านจะต้องนุ่งขาว ห่มขาวและรักษาศีล ซึ่งพบเห็นได้จากหนังสือบุด เรื่อง “ตำนานสร้างโลก ฉบับป่าลาม ตำบลช้างให้ตก อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่ได้กล่าวถึงการปฏิบัติต่อหนังสือบุดไว้

๕.ความเชื่อเกี่ยวกับการบันทึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวอักษรขอม การเขียนเลขยันต์ในหนังสือบุดนิยมเขียนด้วยอักษรขอม เนื่องจากชาวใต้เชื่อว่าเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์และตัวอักษรขอมยังนำไปใช้ในมิติของความขลัง เช่น การจารด้วยดินสอพองทำผงผสมกับวัตถุอื่นๆ เพื่อทำพระเครื่อง แล้วนำไปบรรจุไว้ใต้ฐานเจดีย์หรือสิ่งก่อสร้างทางพุทธศาสนา เป็นต้น ในการบันทึกอักษรเรื่องราวทางศาสนาลงในหนังสือบุดนั้น มีความเชื่อว่าจะต้องไม่ผิด เพราะถือว่าเป็นพระธรรมคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ หากแกล้งเขียนผิดเพียง ๑ ตัวอักษร เชื่อว่าจะเกิดบาปกรรมเท่ากับไม้ใหญ่ในป่าหิมพานต์หัก ๑ ต้น ถ้าเขียนผิดโดยบังเอิญมิให้ขีดฆ่า ขูดลบ แต่ผู้เขียนจะต้องทำวงกลมเอาไว้อย่างบรรจงรอบตัวผิด เรียกจุดดำตำหนิตรงนี้ว่า “พระธรรมผิด” ใครพบเห็นอาจสักการบูชา “พลี” ขอชิ้นส่วนนั้นมาทำเป็นเครื่องรางของขลังโดยยึดเอาคำว่า “พระธรรมผิด”เป็นสิ่งบันดาลให้เกิดความคลาดแคล้วปลอดภัย 

๖.ความเชื่อเกี่ยวกับการบันทึกอักษรไว้ใต้เส้นบรรทัด สมัยโบราณนิยมเขียนหนังสือไว้ใต้เส้นบรรทัด เพราะเชื่อว่าเป็นการเคารพบูชาครูแสดงให้เห็นถึงคุณธรรมของชาวภาคใต้ที่มีความเคารพยำเกรงต่อผู้มีพระคุณหรือครูบาอาจารย์ แม้แต่การเขียน อักษรก็ถือเส้นบรรทัดเป็นครูและไม่เขียนเกินเส้นบรรทัด มิฉะนั้นแล้วจะถือว่าตีตนเสมอครู  

          หนังสือบุดหรือสมุดไทยถือเป็นเอกสารที่ทรงคุณค่าที่เป็นขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญา อันเป็นแหล่งรวมของสรรพวิชาสาขาต่าง ๆ ตลอดถึงความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหนังสือบุด ซึ่งมีทั้งความเชื่อที่เป็นคุณประโยชน์และความเชื่อในทางลบหรือการทำลายหนังสือ ดังได้กล่าวแล้ว อันเป็นพื้นฐานและรากเหง้าของสังคมท้องถิ่นและประเทศชาติที่ทุกคนควรตระหนักถึงความสำคัญและช่วยกันอนุรักษ์ ดังมีการเปรียบเทียบหนังสือไว้ว่า “หนังสือคือขุมทรัพย์ทางภูมิปัญญา” ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันหวงแหน ทะนุถนอม ใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ธำรงรักษาและสืบทอดให้คงอยู่คู่ประเทศชาติของเราสืบไป

เรียบเรียงบทความโดย:

นางสาวขวัญเรือน บุญกอบแก้ว นักวิจัยชำนาญการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

 

เอกสารอ้างอิง

ชัยวุฒิ พิยะกูล. (๒๕๔๕), การอนุรักษ์และการปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ประเภทหนังสือบุด. สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ตำบลเกาะยออำเภอเมือง จังหวัดสงขลา.

สุริวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. (๒๕๔๗). วรรณกรรมทักษิณ : วรรณกรรมพินิจกรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)

สืบพงศ์ ธรรมชาติ. (๒๕๓๔). “การศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมชาดกภาคใต้ จากหนังสือบุด “วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ร้านขายของชำในหมู่บ้าน : ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจของชุมชน

     ใครที่มีโอกาสได้เดินเข้าไปในหมู่บ้านหรือชุมชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายคนอาจจะได้เห็นร้านขายของชำที่ตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านหรือในหมู่บ้าน ร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นร้านเพิงเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ในที่ดินที่ไม่กว้างมากนัก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนเมือง บางร้านก็ดัดแปลงบางส่วนภายในบ้านเป็นร้านค้า โดยส่วนใหญ่แล้วร้านค้าเหล่านี้จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท เรียกว่าแทบนานาชนิดที่เราอาจคาดไม่ถึง และบางร้านอาจไม่มีการโชว์สินค้าหน้าร้านเหล่านั้น

     เมื่อตอนเด็ก ๆ ฉันยังจำได้ว่าร้านขายของชำหน้าหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ เจ้าของร้านเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวบ้านในชุมชนเรียกขานสั้น ๆ ว่าป้าตอนนั้นพวกเราเด็ก ๆ ไม่รู้จักชื่อจริงของป้า จนกระทั่งเราโตขึ้นมาหลายปีถึงจะได้รู้จักชื่อของป้า ร้านขายของชำของป้าจัดเป็นร้านขายของชำประจำหมู่บ้านขนาดกลางร้านแรก ๆ ไล่เลี่ยกับอีกร้านที่ตั้งฝั่งตรงกันข้ามกับร้านป้า ซึ่งเป็นร้านของชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นเดียวกัน และทั้งสองร้านเจ้าของร้านสามารถพูดภาษามลายูได้

     นอกจากนั้นภายในหมู่บ้านที่ฉันเคยอาศัยยังมีร้านขายของชำขนาดเล็กภายในหมู่บ้านอีกหนึ่งร้านซึ่งเจ้าของร้านเป็นชาวมุสลิม แต่จะมีสินค้าน้อยกว่าและไม่หลากหลายเท่ากับสองร้านที่กล่าวมาเบื้องต้น หากจะเปรียบเทียบร้านขายของชำในหมู่บ้านสมัยก่อนก็เปรียบเสมือนกับร้านสะดวกซื้อสมัยนี้ เพราะมีของขายสารพัด ตั้งแต่ผัก ผลไม้สด เครื่องครัว อาหารแห้ง สบู่ ผงซักฟอก แชมพู ถ่าน น้ำแข็ง ขนมบุหรี่ ยาสามัญประจำบ้าน เข็มด้ายฯลฯ หากสินค้าใดที่เราไม่เห็นวางโชว์หน้าร้าน ให้เราถามคนขายดู เขาจะเดินไปหลังร้านหรือไปยังที่วางของและรื้อของที่เราต้องการให้ จนเราเองนึกฉงนใจว่ามีของสิ่งนี้ขายด้วยหรือ

        ร้านขายของชำในหมู่บ้านแม้จะไม่ได้เปิดขายตลอดเวลาเหมือนร้านสะดวกซื้อสมัยนี้ แต่ก็เปิดขายทุกวันไม่มีวันหยุด หากเป็นช่วงกลางคืนที่ร้านปิด แต่ชาวบ้านมีความจำเป็นต้องซื้อยาสามัญประจำบ้านเนื่องด้วยเหตุป่วยไข้ของสมาชิกในครอบครัวกระทันหัน เจ้าของร้านก็ไม่ลังเลที่จะเปิดร้านเพื่อขายยาฯ ให้อย่างมีน้ำใจ และในบางครั้งชาวบ้านสามารถซื้อสินค้าแบบเชื่อหรือติดเงินไว้ก่อน แล้วค่อยทยอยจ่ายทีหลังตามความสามารถ สิ่งนั้นคือภาพของร้านขายของชำดำเนินอยู่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

        ร้านขายของชำในหมู่บ้านในอดีตเป็นตัวชี้วัดหลักประการหนึ่งเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของชาวบ้านในชุมชน โดยสามารถวัดจากชนิดหรือประเภทที่ชาวบ้านในชุมชนนิยมซื้อบ่งบอกถึงความต้องการ ความจำเป็นและรายได้ของผู้ซื้อ ความถี่ในการซื้อ การซื้อสินค้าแบบเชื่อ จำนวนสินค้าที่นำมาจำหน่าย แม้กระทั่งรายได้ของผู้เป็นเจ้าของร้านขายของชำ ซึ่งสามารถมองสภาพการซื้อขายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในชุมชน ที่เน้นการซื้อขายกับชาวบ้านในชุมชนเป็นหลัก ผู้ขายเน้นการขายเพื่อรับผลกำไรเพื่อใช้ยังชีพเป็นหลัก ส่วนใหญ่ใช้แรงงานของสมาชิกในครอบครัวในการช่วยขายของ และมีการโอนถ่ายกิจการค้าขายเพื่อเป็นมรดกตกทอดแก่สมาชิกในครอบครัวเพื่อเป็นเจ้าของร้านค้าต่อไป

        ในวันนี้แม้บทบาทและสถานะของร้านขายของชำในหมู่บ้านจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตด้วยสาเหตุหลากหลายประการ ทั้งในเรื่องร้านค้าที่เพิ่มขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ร้านสะดวกซื้อ การขายของทางออนไลน์ การขายพร้อมบริการส่งสินค้าแบบเดลิเวอรี่และรูปแบบอื่น ๆ แต่ร้านขายของชำอีกหลายๆ ร้านก็ยังคงดำรงอยู่โดยการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย แม้จะไม่รุ่งเรืองมากเท่ากับในสมัยอดีต โดยเฉพาะหากกิจการดังกล่าวได้รับการโอนถ่ายให้แก่ทายาทที่เป็นคนรุ่นใหม่ ก็จะมีการปรับรูปแบบร้านและการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น การปรับรูปโฉมร้านให้น่าเข้าไปซื้อจับจ่ายใช้สอย การบริการส่งสินค้าถึงบ้านโดยการเพิ่มค่าส่งหรือบริการฟรีเมื่อซื้อสินค้าครบตามยอดจำนวนที่กำหนด การมีโปรโมชั่นของร้านตามช่วงเวลาหรือเทศกาลต่าง ๆ

        ทั้งนี้ จากการสังเกตุและลงพื้นที่ในชุมชนหลาย ๆ แห่งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ พบว่า แม้ว่าขายของชำบางร้านยังยึดรูปแบบการขายและรูปลักษณ์แบบเดิม กลับยังสามารถดำรงอยู่ได้ เพราะยังคงมีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ยังคงมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่จำเป็น เนื่องจากร้านตั้งอยู่ในหมู่บ้าน ระยะทางใกล้ทำให้ซื้อได้ง่าย สินค้าขายปลีกในราคาไม่แพง เช่น ผงซักฟอก สบู่ ในราคาไม่เกิน 10 บาทยังพอซื้อหาได้ และบางร้านยังสามารถซื้อแบบเชื่อโดยอาศัยความไว้วางใจกันเช่นในอดีตได้ 

        ซึ่งหากมองในภาพการคงอยู่ของร้านขายของชำในหมู่บ้าน นอกเหนือจากที่เราจะได้เห็นระบบเศรษฐกิจของชุมชนที่ดำรงอยู่มาช้านานในสังคมชายแดนใต้หรือภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย เรายังได้เห็นรูปแบบของความเอื้ออาทร ความไว้เนื้อเชื่อใจ การปรับตัวในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมระหว่างเจ้าของร้านขายของชำซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน แต่อาศัยอยู่ร่วมกัน และทำการค้าขายในชุมชนมุสลิมแต่สามารถพูด หรือติดต่อสื่อสารในภาษาท้องถิ่นได้ โดยที่การยืนหยัดต่อสู้ของเจ้าของร้านขายของชำท่ามกลางการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงของการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ที่มีความรวดเร็วและดุเดือดอยู่ตลอดเวลา การคงอยู่ของร้านขายของชำในหมู่บ้าน จึงเป็นเสมือนหนึ่งสัญญาณของการพึ่งพาอาศัยกันในบทบาทที่แตกต่างกันของแต่ละฝ่ายที่ยังคงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยง โอบอุ้มสถานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านในชุมชนให้สามารถค่อย ๆ เติบโตไปด้วยกัน แม้จะล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวเดินร่วมกันของผู้คนในชุมชน และสังคมในโลกและยุคสมัยแห่งการแข่งขันทางการค้าและการกระตุ้นการบริโภคทุกหนแห่งเฉกเช่นทุกวันนี้

____________________________

เขียน/เรียบเรียงโดยบทความโดย นางสาวรอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

ย้อนอดีตญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่อ่าวมะนาว

      เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกโดยเดินทัพเข้าไทย ทั้งทางบกและทางทะเลด้านอ่าวไทย 7 จังหวัดภาคใต้ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตลอดชายทะเลด้านตะวันตกที่กองบินน้อยอ่าวมะนาวประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดที่ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากที่สุด แผนการรบของญี่ปุ่นเดิมจะยกพลขึ้นบกที่สงขลาและปัตตานี รวมทั้งโกตาบารูในเขตมลายูแล้วรวมกำลังกันบุกมลายูของอังกฤษลงไปถึงสิงคโปร์ อีกส่วนหนึ่งจะเข้ายึดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพรและประจวบคีรีขันธ์เพื่อเคลื่อนต่อเข้าไปยึดวิคตอเรียปอยท์ เมืองมะริดและเมืองทวายของพม่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นจุดแคบที่สุดญี่ปุ่นเกรงว่าถ้าอังกฤษเข้ามายึดได้ก่อนก็จะเป็นการตัดเส้นทางคมนาคมลงใต้ โดยเฉพาะทางรถไฟซึ่งจะเป็นเส้นทางหลักในการลำเลียงพลผ่านไทยลงไปแหลมมลายู ญี่ปุ่นต้องคุมเส้นทางนี้ไว้ให้ได้ จึงมาหาข้อมูลล่วงหน้าไว้ ไม่ว่าในทะเลหรือป่าเขา ก่อนถึงกำหนดการยกพลขึ้นบกมีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไปเที่ยวประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลาและปัตตานีกันมาก โดยเฉพาะที่ประจวบฯ ญี่ปุ่นออกไปลอยเรือตกปลาในอ่าวและด้านหลังเขาล้อมหมวก หน้ากองบินน้อยที่ 5 ส่วนเส้นทางบ้านหนองหิน-ด่านสิงขรทางเข้าพม่า พ่อค้าญี่ปุ่นก็เข้าไปซื้อไม้จันทน์หอมซึ่งมีมากในย่านนั้น จนผิดสังเกต ที่สำคัญกองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินรบซึ่งซื้อจากญี่ปุ่นไปฝึกที่นั่น มีนายทหารญี่ปุ่นยศนาวาตรี 1 คน เรือเอกอีก 3 คนไปเป็นครูฝึกและลงเล่นน้ำทะเลทุกวัน เมื่อทหารไปตีอวนจับปลา ครูฝึกญี่ปุ่นก็ขอร่วมสนุกด้วยเสมอ

     กลางดึกของคืนวันที่ 7 เวลา 02.00 น. มีเรือลักษณะเป็นเรือสินค้าเข้ามาจอดที่ด้านหลังเขาล้อมหมวก ลำเลียงทหารลงเรือท้องแบนเปิดหัว 7 ลำขึ้นบก 4 ลำ ไปขึ้นอ่าวประจวบอีก 3 ลำ ไปขึ้นอ่าวมะนาว เวลา 03.00 น. กองกำลังทหารญี่ปุ่นระลอกแรกขึ้นถึงฝั่ง ส่วนหนึ่งเคลื่อนไปล้อมสถานีตำรวจ เวลา 04.00 น.ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งชูกระดาษในมือแล้วเดินขึ้นไปบนสถานีตำรวจส่งภาษาญี่ปุ่นกับพลตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ แต่ตำรวจไทยไม่รู้จักทหารญี่ปุ่นกลับคิดว่าเป็นมลายูจึงร้องห้ามไม่ให้ขึ้น ทหารญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องก็เดินขึ้นบันไดไม่ยอมหยุด พลตำรวจถือปืนพระราม 6 ติดดาบปลายปืนยืนคุมบันไดอยู่ จึงแทงพุงเอาด้วยดาบปลายปืนจนทหารญี่ปุ่นล้มลงตกบันได ทหารญี่ปุ่นที่ศาลากลางฝั่งตรงข้ามจึงระดมยิงมาที่โรงพัก ตำรวจที่นอนอยู่บนสถานีประมาณ 20 คนคว้าปืนยิงสู้โต้ตอบกันอยู่ประมาณ 20 นาที ตำรวจไทยก็ยังไม่ยอมถอยให้ทหารญี่ปุ่น ฝ่ายญี่ปุ่นจึงใช้ระเบิดมือขว้างขึ้นไปบนโรงพัก 5 ลูกเป็นผลให้เสียงปืนฝ่ายตำรวจเงียบลงทันที ทุกคนต่างถอยลงจากโรงพัก รุ่งเช้าพบศพตำรวจ 13 ศพมีรอยทั้งถูกยิง ถูกแทง ถูกฟัน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นเก็บศพเรียบร้อยไม่ให้ฝ่ายไทยรู้ กำลังทหารญี่ปุ่นอีกจำนวนหนึ่งเคลื่อนไปตามริมหาดผ่านหมู่บ้านชาวประมงมุ่งสู่กองบินน้อยที่ 5 รังปืนกลของกองบินอยู่ตรงไหนบ้างญี่ปุ่นรู้หมด จึงคืบคลานเข้าไปจัดการกับทหารที่เฝ้ารังปืนอยู่โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งฟันแทงจนยึดรังปืนกลได้หมด แล้วเข้าคุมจุดจอดเครื่องบินและบ้านพักของนักบินที่อยู่เวร เสียงปืนที่สถานีตำรวจดังไปถึงกองบินน้อยที่ 5 เรืออากาศเอกเดหลี สงวนแก้ว นายทหารเวรอำนวยการจึงสั่งให้ทหารเข้าไปหาข่าวในเมือง ได้ทราบว่าญี่ปุ่นยึดสถานีตำรวจ สถานีรถไฟไว้ได้ ขณะเดียวกันเรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม ผู้บังคับการกองทหารราบอากาศก็เข้ารายงานต่อนาวาอากาศตรีหม่อมหลวงประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 ว่าขณะนำทหารออกไปลากอวนจับปลาในอ่าวมะนาว ได้เห็นเรือท้องแบนลำเลียงพลเข้ามาทางปากอ่าว ผู้บังคับกองบินจึงให้เป่าแตรสัญญาณเหตุสำคัญ เข้าประจำที่ตามแผนที่วางไว้ ทางด้านกองรักษาการณ์ที่มีกำลังพลเพียง 20 คน มีจ่าอากาศเอกนิกร พวงไพโรจน์ เป็นผู้บังคับกองรับผิดชอบป้องกันอ่าวประจวบ สั่งทหารกระจายกำลังและรอรับพลประจำปืนที่อยู่ข้างนอกซึ่งอาจถอนกำลังเข้ามา โดยไม่รู้ว่าเสียชีวิตหมดแล้ว ระหว่างนั้น ร.ต.ท.สงบ พรหมานนท์ ซึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นที่โรงพัก มีบาดแผลทั้งถูกยิงและแทงก็เล็ดลอดมาแจ้งข่าวให้ทางกองบินทราบและขอกำลังไปช่วย พอส่งข่าวเสร็จก็ขาดใจตาย เมื่อได้รับสัญญาณแตรบอกเหตุแล้ว เครื่องบินทุกลำซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ในสนามก็ติดเครื่องยนต์ เรืออากาศตรีแม้น ประสงค์ดี นำเครื่องบินขับไล่แบบฮอล์ค 3 ที่ไทยสร้างเองขึ้นได้เป็นลำแรกพร้อมลูกระเบิดขนาด 40 กิโลกรัม 4 ลูก เห็นเงาตะคุ่มของเรือลำเลียงญี่ปุ่นอยู่ในอ่าวจึงหย่อนระเบิดเข้าใส่แต่ไม่ถูกเลยพาเครื่องจะไปลงที่สนามบินต้นสำโรงนครปฐม แต่ไปได้แค่อ่าวชะอำเครื่องก็ขัดข้องเลยต้องลงที่ชายหาด บนเขาล้อมหมวกที่ยื่นลงไปในอ่าวมะนาวมีรังปืนกลตั้งอยู่ ญี่ปุ่นจึงใช้ปืนเรือถล่มจนราบและส่งทหารเข้าคุมรันเวย์ไม่ให้เครื่องบินขึ้น รวมทั้งใช้ปืนกลเรือยิงกราดไว้ไม่ให้เครื่องบินขึ้นได้ เมื่อพันจ่าอากาศเอกพรม ชูวงศ์ นำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์เป็นลำที่ 2 จึงถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่ยิงฐานล้อหัก เครื่องบินเสียหลักไถลลงข้างรันเวย์ นักบินกระโดดลงจากเครื่อง ถูกแทงด้วยดาบปลายปืนเสียชีวิต เครื่องที่ 3 มีจ่าอากาศเอกจำเนียร วารียะกุล เป็นนักบินกับเครื่องที่ 4 มี จ่าอากาศเอกสถิต โรหิตโยธิน เป็นนักบิน ขณะนำเครื่องวิ่งไปตามรันเวย์จะขึ้นบินก็ถูกทหารญี่ปุ่นที่ซุ่มอยู่รุมยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ เครื่องที่ 5 ขณะที่พันจ่าอากาศเอกกาบ ขำศิริ นักบิน กำลังรอให้พันจ่าอากาศโทพร เฉลิมสุข ถอดลูกระเบิดขนาด 50 กิโลกรัมออกเพื่อบรรจุลูกกระสุนปืนกลแทน ก็ถูกทหารญี่ปุ่นบุกเข้าทำร้าย พ.จ.อ.กาบ ถูกยิงที่เท้า แต่ทั้ง 2 ก็สู้กับซามูไรและหนีรอดไปได้ ส่วนเรืออากาศโทสวน สุขเสริม ผู้บังคับหมวดบิน ได้นำเครื่องบินโจมตีแบบคอร์แซร์ที่ไทยสร้างเองจะขึ้น โดยมีพลทหารสมพงษ์ แนวบันทัด เป็นพลปืนหลัง ขณะเตรียมขึ้นก็ถูกญี่ปุ่นยิงจนเครื่องบินชำรุด ทั้ง 2 จึงกระโดดลงจากเครื่องและถูกทหารญี่ปุ่นรุมทำร้าย เรืออากาศโทสวนถูกแทงที่สะโพกบาดเจ็บสาหัส ยศสุดท้ายเป็นพลอากาศโท ส่วนพลทหารสมพงษ์ถูกซามูไรฟันที่ต้นแขนซ้ายพิการตลอดชีวิต ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญในฐานประกอบวีรกรรมช่วยชีวิตผู้บังคับบัญชา ยศสุดท้ายเป็นพันจ่าอากาศเอก ด้านกองรักษาการณ์ที่วางแนวป้องกันกองบินทางด้านอ่าวประจวบ รอคอยทหารที่ประจำปืนกลด้านนอกจะถอยกลับมา เวลา 05.00 น. เห็นเงาตะคุ่มกำลังคืบคลานเข้ามายังที่ตั้งกองรักษาการณ์ ฟังเสียงพูดพอรู้ว่าเป็นญี่ปุ่นแน่จึงยิงเข้าใส่ เวลา 06.00 น. เสียงปืนฝ่ายไทยเบาบางลง ผู้บังคับกองบินจึงส่งทหารไปเสริมก็พบว่าญี่ปุ่นขุดสนามเพลาะปักธงญี่ปุ่นไว้ปากหลุม แต่แม้จะเสริมกำลังไปช่วยแล้ว แนวรบด้านนี้ฝ่ายไทยก็ไม่อาจทานทหารญี่ปุ่นไว้ได้ เสียชีวิตเกือบหมด รอดตายเพียง จ.อ.อ.นิกร พวงไพโรจน์ ผู้บังคับกองรักษาการณ์และพลทหารจิต อ่ำพันธ์ พนักงานวิทยุ ทางด้านอ่าวมะนาว เรือระบายพลของญี่ปุ่นยังวิ่งเข้าเกยหาดระลอกแล้วระลอกเล่า เรืออากาศตรีสมศรี สุจริตธรรม คุมกำลังราบอากาศราว 10 คนคอยอยู่ด้านนี้ได้ถอดปืนกลประจำเครื่องบินออกมาใช้ เพราะเครื่องบินไม่สามารถบินขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่นคิดไม่ถึง จึงขึ้นบกกันมาอย่างลอยนวล ขณะนั้นอยู่ในช่วงน้ำลงหาดทรายจึงกว้าง ทหารญี่ปุ่นที่ลุยจากเรือลำเลียงขึ้นมาตกอยู่ในสภาพเป็นเป้าอย่างชัดเจน ปรากฏว่าญี่ปุ่นตายเกลื่อน หาดมะนาว รวมทั้งนายทหารระดับผู้บังคับกองพันด้วย เวลา 07.00 น. ทหารญี่ปุ่นสามารถยึดแนวโรงเก็บเครื่องบินและกองรักษาการณ์ไว้ได้ ผู้บังคับกองบินจึงสั่งเผาอาคารคอนกรีต 2 ชั้นยาว 40 เมตร ซึ่งเป็นกองบังคับการกองบิน สโมสรนายทหาร คลังอุปกรณ์การบินและห้องพักนักบินกับที่พักกองราบอากาศ ส่วนหมวดเสนารักษ์เมื่อเห็นว่าอาคารบังคับการกองบินไหม้ ก็เลยสั่งเผาอาคารของหมวดและห้องพักคนไข้ด้วย พากันอพยพไปหลบอยู่ที่เชิงเขาล้อมหมวก หุงหาอาหารส่งไปช่วยแนวหน้า ทั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกำหนดหน้าที่ของคนไทยในเวลารบ ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2484 ให้คนไทยทุกคนปฏิบัติในทุกๆ ทางที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยและขัดต่อประโยชน์ของประเทศที่ทำการรบกับไทย ต้องต่อสู้ข้าศึกทุกวิถีทาง ถ้าไม่สามารถต่อต้านไว้ได้ก็ให้ทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของตนเอง ของผู้อื่นหรือของทางราชการที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้าศึก ทหารญี่ปุ่นส่งกำลังหนุนเนื่องจะเข้ายึดกองบินน้อยที่ 5 ให้ได้ แต่ตลอดทั้งวันที่ 8 ก็ไม่สามารถยึดได้ ถูกต่อต้านอย่างเหนียวแน่น คืนวันที่ 8 ต่อวันที่ 9 เกิดฝนตกอย่างหนักญี่ปุ่นยังยิงเข้ามาอย่างประปราย ฝ่ายไทยต้องการประหยัดกระสุนเลยเอากระสุนซ้อมยิงมายิงขู่ญี่ปุ่น เก็บกระสุนจริงไว้

ทหารกองบินที่ 5 ขณะเคลื่อนกำลังสู้กับทหารญี่ปุ่น

     เช้าวันที่ 9 เวลา 08.00 น. ขณะสถานการณ์คับขัน น.ต.ม.ล.ประวาศ ชุมสาย ผู้บังคับกองบินน้อยสั่งให้ทหารทุกคนตะโกนขึ้นว่าทหารเรือมาช่วยแล้วแล้วไชโยโห่ร้องกันอย่างดีใจ บรรดาครอบครัวทหารที่ไปหลบอยู่เชิงเขาล้อมหมวกได้ยินก็ไชโยตาม ซึ่งก็ได้ผลพอควร ทหารญี่ปุ่นที่ล้ำเข้ามาพากันถอยกรูด ต่อมานายหยอย ทิพย์นุกุล บุรุษไปรษณีย์นำโทรเลขจาก พันเอกช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งให้หยุดยิง แต่ผู้บังคับกองบินไม่ยอมเชื่อเกรงว่าจะเป็นกลลวงของญี่ปุ่น จนกระทั่ง 10.00 น. ผู้บังคับการกองบินได้ปรึกษากับบรรดานายทหารเห็นว่าไม่มีทางจะสู้กับกองทัพญี่ปุ่นได้ เพราะกำลังน้อยกว่ามากและยังถูกล้อมอยู่ในที่จำกัด รอความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่เห็นวี่แวว จึงสั่งให้นายทหารเหลือกระสุนสำหรับตัวเองไว้คนละนัด และให้เผาคลังน้ำมันที่ตั้งอยู่เชิงเขาล้อมหมวกด้านอ่าวประจวบเสีย เวลา 12.00 น. นายจรูญพันธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ปลัดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมการจังหวัดและอำเภอ มีนายตำรวจติดตามอีก 7 คน เดินทางด้วยรถ 6 ล้อของกรมทางติดธงสีขาวหน้ารถ นำโทรเลขคำสั่งหยุดยิงของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมามอบให้ผู้บังคับกองบินน้อยที่ 5 แจ้งว่ารัฐบาลได้ยินยอมให้กองทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยแล้วก็พบทหารไทยราว 10 คน กอดคอกันร้องไห้ เวลา 14.00 น. ได้เรียกรวมพลทั้งไทยและญี่ปุ่นที่ลานบินเพื่อปรับความเข้าใจและแบ่งเขตกันป้องกันการกระทบกระทั่ง จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็สำรวจความเสียหายของตน ทหารญี่ปุ่นงงงันไปตามกันที่เห็นฝ่ายต่อต้านมีเพียงไม่กี่คน ปรากฏว่าด้านฝ่ายไทย ทหารเสียชีวิต 38 คนเป็นนายทหารชั้นประทวนและพลทหาร นายตำรวจเสียชีวิต 1 คน ลูกเสือจากโรงเรียนประจวบวิทยาลัยที่รวมกลุ่มกันไปช่วยลำเลียงอาหารและกระสุนให้ทหารเสียชีวิต 1 คน ครอบครัวทหารเสียชีวิต 2 คน เป็นสตรีคนหนึ่งคือภรรยาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ซึ่งสามีนำเครื่องบินมาประจำที่สนามบินโคกสำโรงนครปฐม ต่อมาเรืออากาศเอกเฉลิมเกียรติ ก็คือจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนความเสียหายฝ่ายญี่ปุ่น พลอากาศตรีปราโมทย์ ภูติพันธ์ อดีตผู้บังคับกองทหารราบ กองบินน้อยที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2484 ได้ให้ข้อมูลกับกรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด วันที่ 25 กรกฎาคม 2533 เพื่อบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ไว้ว่า
     “การสูญเสียของฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบชัด เห็นแต่เพียงว่าญี่ปุ่นได้เก็บศพและรวบรวมทหารบาดเจ็บวางเรียงไว้ในโรงเก็บเครื่องบินเต็มไปหมด สำหรับศพทหารญี่ปุ่นได้จัดการเผาในหลุมที่เคยใช้เป็นหลุมทิ้งชิ้นส่วนเครื่องบิน ซึ่งมีการเผาตลอดทั้งคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ประมาณว่าคงมีจำนวนไม่น้อยกว่า 200 ศพ ส่วนทหารบาดเจ็บมีจำนวนมากกว่า 100 คน ที่ยืนยันได้คือมีนายทหารญี่ปุ่นชั้นผู้บังคับกองพันเสียชีวิตที่ริมหาดอ่าวมะนาวขณะยกพลขึ้นบกด้วย 1 คน นายทหารอื่นอย่างน้อย 3 คน ทั้งนี้มีผู้ตัดเครื่องหมายยศจากศพทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

     วีรกรรมอ่าวมะนาวจึงเป็นเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์แสดงถึงธาตุแท้ของความเป็นคนไทย ที่รักชาติมากกว่าชีวิตของตัวเอง แม้ตัวจะตายก็ไม่ยอมให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นไทย เราจึงมีแผ่นดินที่อยู่อาศัยกันอย่างมั่นคงผาสุกมาจนวันนี้

เรียบเรียงโดย:

อ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ
สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

 

เอกสารอ้างอิง

เรื่องเล่าจากทหารไทยบนสมรภูมิรบ ครั้งญี่ปุ่นบุกมลายู-สิงคโปร์

Japanese invasion of Thailand

ญี่ปุ่น กับการจารกรรมในเมืองนครศรีธรรมราช


อบคุณภาพข้อมูล: 

https://www.hatyaifocus.com/บทความ/1576-เรื่องราวหาดใหญ่-ย้อนเรื่องวันที่%2B8%2Bธันวาคม%2B2484%2Bเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทย%2Bครั้นเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกประเทศไทย%2Bรวมถึงอ่าวไทยทางภาคใต้/

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_4665#google_vignette

https://www.gqthailand.com/culture/movie/article/8-dec-thai-japan

สมุนไพรริมรั้ว “เนรมิตสเปรย์ปรับอากาศ”

พืชสมุนไพรต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีมากมาย  ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลายาวนาน เช่น ใบเตย มะกรูด ตะไคร้ ขิง ข่า บัวบก มะเขือเทศ เป็นต้น พืชสมุนไพรเหล่านี้นิยมนำมาใช้ประกอบเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ  นอกจากนี้แล้วยังสามารถนำมาทำเป็นยาดมสมุนไพร ยาสระผม สเปรย์ไล่ยุง หรือแม้กระทั่งสมุนไพรเหล่านี้ยังสามารถนำมาทำเป็นสเปรย์ปรับอากาศได้อีกด้วย ดังนั้น บทความนี้ผู้เขียนของนำเสนอเรื่อง สมุนไพรริมรั้วเนรมิตเสปรย์ปรับอากาศ

ก่อนที่ไปเรียนรู้วิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศ จากสมุนไพรพื้นบ้าน ผู้เขียนขอกล่าวถึง สรรพคุณของสมุนไพรมีมากมายกว่าที่เราคิด เช่น ใบเตยใช้ในการผสมอาหาร ทำอาหาร ดับกลิ่น แก้โรคเบาหวาน ใช้บำรุงหัวใจ มีกลิ่นหอม เมื่อดื่มจะทำให้รู้สึกชุ่มคอ ตะไคร้นอกจากนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารแล้วยังสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของสารระงับกลิ่นต่างๆ ช่วยดับกลิ่นคาว และกลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยไล่ยุงและกำจัดยุงได้เป็นอย่างดี ส่วนมะกรูดใบมะกรูดและน้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในอาหารได้ โดยใช้ในการประกอบอาหารและแต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร เช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก ทอดมัน โรยหน้าข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ฯลฯ นอกจากนี้แล้วมะกรูดยังมีประโยชน์ในการช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็น กลิ่นอับเชื้อราได้อีกด้วยเหล่านี้เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนขอกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ทำสเปรย์ปรับอากาศเพื่อเป็นองค์ความรู้เชิงวิชาการ ดังนี้

ตะไคร้ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวประเภทล้มลุก เจริญเติบโตรวมอยู่เป็นกอ ใบและหัวมีกลิ่นหอม  ราก เป็นระบบรากฝอยลำต้น อยู่บนดินรวมกันเป็นกอแน่น มีสีเขียวและม่วงอ่อน ลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก มีลักษณะแข็งเกลี้ยง ตามปล้องมักมีไขปกคลุม ต้นสูงได้ถึง 1 เมตร ใบ เป็นใบเดี่ยว มีลักษณะยาวเรียวคล้ายใบข้าว ใบรูปขอบขนานแคบ ใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวได้ถึง 100 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ผิวใบทั้งสองด้านมีลักษณะสากมือ เส้นกลางใบแข็งตรงรอยต่อระหว่างกากใบและตัวใบมีเกล็ดบางๆ ยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ตามขอบใบมีขนเล็กน้อยดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อดอกย่อยมีก้านออกเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่รองรับด้วยใบประดับช่อ ดอกย่อยประกอบด้วยดอกย่อยออกเป็นคู่ ๆ ดอกหนึ่งมีก้านอีกดอกหนึ่งไม่มีก้าน ภายในดอกย่อยแต่ละดอกประกอบด้วยดอกเล็กๆ 2 ดอก ดอกล่างลดรูปมีเพียงเกลีบเดี่ยวโปร่งแสง ปลายแหลมเรียว ดอกบน ในดอกย่อยที่ไม่มีก้านจะเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ส่วนดอกบนของดอกย่อยที่มีก้านจะเป็นดอกเพศผู้หรือเป็นหมัน ผล มีขนาดเล็กเปลือกบาง ๆ ห่อหุ้มเมล็ด มีแป้งสะสมค่อนข้างมากตะไคร้เป็นพืชที่ปลูกง่าย งอกงามดีในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินเหนียว  แหล่งกำเนิดที่แน่นอนไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นมาเลเซีย ตะไคร้เป็นพืชที่รู้จักและปลูกในหลาย ๆ ประเทศในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมามีการนำไปยังอเมริกาใต้และกลางและไปยังมาดากัสการ์ หมู่เกาะใกล้เคียงจนกระทั่งในแอฟริกา ปัจจุบันมีการปลูกทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อน อินเดียและใกล้เคียง หมู่เกาะของประเทศศรีลังกา คาบสมุทรมาเลย์ แล้วแพร่กระจายไปปลูกในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในทวีปเอเชีย อเมริกา แอฟริกา และอื่นๆ ตะไคร้ขึ้นในที่โล่งแจ้ง ดินร่วนทั่ว ๆ ไป ในประเทศไทยปลูกเป็นพืชผักสวนครัว และตะไคร้ยังมีสรรพคุณมากมาย เช่น แก้และบรรเทาอาการหวัด น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้ สามารถบรรเทาอาการปวดได้ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (ใบสด)ใช้เป็นยาแก้อาเจียน หากนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ (หัวตะไคร้)ช่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ (หัวตะไคร้)รักษาโรคหอบหืด ด้วยการใช้ต้นตะไคร้ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณหน้าอก (ราก)ใช้เป็นยาแก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย (ราก)ช่วยแก้และบรรเทาอาการปวดท้อง ช่วยรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (หัวตะไคร้) ช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยในการย่อยอาหาร น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ มีส่วนช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้ มีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยแก้อาการปัสสาวะพิการ และรักษาโรคนิ่ว (หัวตะไคร้)ช่วยแก้อาการขัดเบา (หัวตะไคร้) ใช้เป็นยาแก้ขับลม (ต้น) ช่วยรักษาอหิวาตกโรค ช่วยแก้ลมอัมพาต (หัวตะไคร้)ใช้เป็นยารักษาเกลื้อน เป็นต้น

ใบเตย ลักษณะคือ  ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ลักษณะใบยาวเรียวคล้ายใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน เส้นกลางใบเว้าลึกเป็นแอ่ง ถ้าดูด้านท้องใบจะเห็นเป็นรูปคล้ายกระดูกงูเรือ ดอกเป็นดอกช่อแบบ สแปดิก (spadix) ดอกย่อยแยกเพศและแยกต้น ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกฝัก/ผล  ผลขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ไม่เกิดดอกและผล เป็นเตยเพศผู้ การปลูกตามริมคูน้ำบริเวณที่น้ำขังแฉะ หรือที่ดินชื้น การดูแรักษา ชอบแสงแดดรำไร แต่ก็ทนต่อแสงแดดจัด  การขยายพันธุ์ ปักชำลำต้น หรือกิ่งแขนง ใบเตยสามารถทำเป็นไม้ประดับสมุนไพรใช้เป็นภาชนะห่อและใส่เพื่อปรุงกลิ่น อาหาร คาวหวาน และยังเป็นพันธุ์ที่ชาวสวนปลูกตัดใบออกจำหน่ายเป็นการค้า ซึ่งใบเตยมีถิ่นกำเนิด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนสรรพคุณทางยาของใบเตยคือ ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ ให้ชุ่มชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน

           ส่วนมะกรูด ลักษณะคือ ลำต้น มะกรูดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ปลูกไว้ครั้งเดียวก็มีชีวิตอยู่ได้นานปี ลำต้นและกิ่งมีหนามแหลม  ใบ เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยเพียงใบเดียว มีก้านใบแผ่ออกใหญ่ เท่ากันกับแผ่นใบ ทำให้เห็นใบเป็นสองตอน ใบค่อนข้างหนาสีเขียวแก่ ใบมีกลิ่นหอมมากเพราะมีต่อมน้ำมัน ดอก ดอกเดี่ยวสีขาวมักจะอยู่เป็นกระจุก 3-5 ดอก กลีบดอกร่วงง่าย ผล เป็นผลเดี่ยว รูปร่างของผลมีหลายแบบแล้วแต่พันธุ์ บางพันธุ์มีผลขนาดใหญ่ บางพันธุ์มีผิวของผลขรุขระและมีจุกที่หัวผล บางพันธุ์ผลมีขนาดเล็ก บางพันธุ์มีผิวของผลเรียบ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูกมะกรูดควรเป็นพื้นที่ซึ่งน้ำไม่ท่วม ดินมีการระบายน้ำได้ดี ปกติ  มะกรูดต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโตพอสมควร ถ้าขาดน้ำ จะทำให้พืชเหี่ยวเฉา และเจริญ เติบโตช้า ผลไม่ดก ขนาดและคุณภาพของผลไม่ดี นอกจากนี้ มะกรูดยังเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย เช่น ใช้เป็นยาหรือส่วนผสมของยาต่างๆ คือ น้ำในผลแก้อาการท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร น้ำมะกรูดใช้ดองยา เพื่อใช้ฟอกเลือดและบำรุงโลหิตสตรี  ใบมะกรูดใช้เป็นยาขับลมในลำไส้  แก้จุกเสียด ผลมะกรูดที่คว้านไส้ออก ใช้เป็นยาขับลมแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องหอมและเครื่องสำอางต่างๆ กรด Citric ช่วยขจัดคราบสบู่ (ด่าง) ที่หลงเหลืออยู่ทำให้ผมหวีง่าย น้ำมันจากผิวมะกรูดช่วยให้ผมดกเป็นเงางาม 

จากการสัมภาษณ์ปราชญ์ท้องถิ่น คุณซัลมาสะแต ได้กล่าวถึงวิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรดังนี้

ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ประกอบด้วยหม้อ  กรวย ขวดสเปรย์ ภาชนะตวง ตะไคร้ 20 กรัม  ใบมะกรูด 20  กรัม  ใบเตย  20  กรัม  แอลกอฮอล์
(เจือจาง
 70%) 5มิลลิลิตร

ส่วนขั้นตอนวิธีการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรมีดังนี้ 

1) นำใบเตย ตะไคร้หอม ใบมะกรูดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ (เพื่อให้สมุนไพรสามารถออกกลิ่นได้เร็วกว่าการที่ต้มโดยไม่หั่น)

2นำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดลงไปต้มชนิดละ 20 กรัม ต่อแอลกอฮอล์ 50 มิลลิลิตร

3) ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วกรองกากสมุนไพรออก

4) จะได้น้ำสมุนไพรที่กรองแล้ว 

5) นำน้ำสมุนไพรทั้งสาม บรรจุใส่ขวดสเปรย์ พร้อมใช้งาน

จะเห็นว่า สเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง วัสดุ อุปกรณ์สามารถหาไม่ยาก เนื่องจากมีอยู่รอบๆ ตัว ซึ่งสมุนไพรท้องถิ่นเป็นพืชที่คนในไทยนิยมปลูกกันเกือบทุกครัวเรือน สามารถนำมาทำเป็นอาหารในการรับประทาน ยารักษาโรค รวมถึงสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งสเปรย์ปรับอากาศที่ทำจากสมุนไพรที่ได้มากจากท้องถิ่นนั้นมีจุดเด่นที่ดี คือ สามารถขจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์สเปรย์ปรับอากาศที่ทำมาจากสารเคมี ที่มีการขายอยู่ในทั่วท้องตลาด และอีกทั้งยังมีความปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกคน ทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริม อนุรักษ์ภูมิปัญญาและสมุนไพรการแพทย์แผนไทยในท้องถิ่นให้กับคนรุ่นหลังต่อๆไป

          ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากส่งเสริมให้มีการรณรงค์ให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากพืชสมุนไพร และส่งเสริมให้มีการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำสเปรย์ปรับอากาศจากสมุนไพรท้องถิ่นให้คุณผู้อ่านได้รับทราบ สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ทดลองทำใช้เองในครัวเรือนที่บ้าน เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนจากเดิมที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตามร้านค้า ซึ่งมีราคาแพง และเพื่อให้ผู้คนหันกลับมาสนใจในการใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยกันอนุรักษ์ให้ผู้คนหันกลับมาสนใจในการใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น


________________________________________________

เรียบเรียงบทความโดย นางสาวนิปาตีเมาะ หะยีหามะ นักวิจัยสถาบันฯ

.

เอกสารอ้างอิง

ซัลมา สะแต. (สัมภาษณ์). ตำบลลางา  อำเภอมายอ  จังหวัดปัตตานี.

ตะไคร้ สรรพคุณและประโยชน์ของตะไคร้. (ม.ป.ป.) สืบค้นจาก http://frynn.com