บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง “แนวทางการจัดการความรู้ ภูมิปัญญา การใช้ประโยชน์จากสมุนไพร ในชุมชนตำบลท่าเรือ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ในรอบปี 2567 ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารระดับชาติ

เรื่อง “แนวทางการจัดการความรู้ ภูมิปัญญา การใช้ประโยชน์จากสมุนไพร ในชุมชนตำบลท่าเรือ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี”

.

ตีพิมพ์ในวารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์  ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 : กันยายน – ธันวาคม 2567

ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ที่ GUIDELINES OF KNOWLEDGE MANAGEMENT WISDOM HERBAL MEDICINES UTILIZATION IN COMMUNITY THARUA SUBDISTRICT KOKPHOE DISTRICT, PATTANI PROVINCE | Journal of Graduate Studies Valaya Alongkorn Rajabhat University

.

ผู้เขียน:

นางสาวขวัญเรือน บุญกอบแก้ว

นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

.

Keyword: #แนวทางการจัดการความรู้ #ภูมิปัญญา #การใช้ประโยชน์จากสมุนไพร,
Guidelines of Knowledge Management, Wisdom, Herbal Medicines Utilization

มาแกปูโละ : กินเหนียวงานแต่งชายแดนใต้

ฉันเดินเข้าไปบริเวณงานแต่งงานของน้องสาวที่รู้จักกันในหมู่บ้านเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน ชาวมุสลิมที่ชายแดนใต้ส่วนใหญ่หากไม่ติดภารกิจใดเมื่อได้รับการเชิญไปร่วมงานเลี้ยงงานแต่งงานมักจะนิยมไปในช่วงเวลาใกล้เที่ยง หากบางคนมีภารกิจก็จะเปลี่ยนเป็นเวลาเย็นหรือค่ำหลังเลิกงาน การไปร่วมงานเลี้ยงการแต่งงานที่นี่เรียกว่า มาแกปูโละหรือสั้น ๆ ก็คือกินเหนียวนั่นเอง

ฉันได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามแบมังหรืออุสมาน โดซอมิ ปราชญ์ชาวบ้านชาวยะลาที่มีความรู้และทำงานคร่ำหวอดในแวดวงงานด้านประเพณีวัฒนธรรมชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แบมังได้เล่าว่า เมื่อก่อนชาวบ้านแถบนี้เวลามีงานแต่งมักจะมีการเลี้ยงข้าวเหนียวซึ่งถือว่าเป็นอาหารหลักในยุคนั้นพร้อมกับข้าวเจ้าด้วย ข้าวเหนียวนั้นใช้ทานกับแกงต่าง ๆ เช่น แกงมัสมั่นเนื้อ แกงมัสมั่นแพะ บ้างก็ทานกับแกงกุ้ง ปลาแห้ง หรือสมันกุ้งก็มี จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่มาของคำว่า มาแกปูโละซึ่งเป็นภาษามลายูถิ่น โดยหากแยกเป็น 2 คำ คำว่า มาแก หมายถึง กิน ปูโละ หมายถึง ข้าวเหนียว นั่นเอง

ในงานแต่งงานของมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้แห่งนี้มีรูปแบบ วิถีทางความเชื่อและประเพณีบางอย่างที่ทั้งแตกต่างและคล้ายคลึงกับพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย ฉันขอกล่าวถึงรูปแบบและเรื่องราวบางส่วนที่แตกต่างและเป็นอัตลักษณ์ของผู้คนที่ชายแดนใต้แห่งนี้ เช่น สัญลักษณ์การแขวนธงผ้า*กาอินลือปัส (*ผ้าที่ใช้สำหรับคลุมศรีษะหรือไหล่ของผู้หญิงในพื้นที่ชายแดนใต้ สมัยก่อนอาจใช้คลุมไหล่ ผู้ชายบางคนอาจใช้ในการโพกหัวเป็นทรงกลม ๆ หรือใช้พันเอวคล้ายการใช้งานผ้าขาวม้าของไทย) ที่แขวนเป็นสัญลักษณ์ว่าที่นี่มีงานแต่งงานหรือเป็นผ้าที่ใช้บอกเส้นทางไปยังบ้านที่จัดงานแต่งงานก็ได้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่งานเลี้ยงงานแต่งงานมักจัดภายหลังการแต่งงานตามหลักการศาสนาหรือเรียกสั้น ๆ ว่านิกะห์ ซึ่งอาจจัดก่อนวันงานเลี้ยง 1 วันหรือในช่วงเช้าก่อนเริ่มจัดงานเลี้ยงในวันเดียวกัน ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงหรือระหว่างการจัดงานเลี้ยงจะมีขบวนแห่ขันหมาก (บุหงาซีเระหรือพานบายศรี) จากฝ่ายเจ้าบ่าวซึ่งอาจมีรูปแบบลักษณะตั้งแต่ 3 ชั้น 5 ชั้น หรือ 7 ชั้น แล้วแต่ความสะดวกของฝ่ายที่จัดขบวนแห่ฯ ปัจจุบันจะมีสิ่งของประกอบการแห่ขันหมากอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น ผ้าถุง ผ้าละหมาด ขนมหวาน ผลไม้ เบเกอรี่ ฯลฯ

นอกจากนี้ข้าวเหนียวหรือปูโละจัดได้ว่าสิ่งสำคัญในงานเลี้ยงงานแต่งงานของมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เนื่องจากปูโละหรือข้าวเหนียวถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในเชิงพิธีการในงานแต่งงาน โดยเฉพาะการกิน ปูโละเซอมางัตหรือข้าวเหนียวขวัญของคู่บ่าวสาว โดยในช่วงของงานแต่งคู่บ่าวสาวจะผลัดกันหยิบข้าวเหนียวคนละ 3 คำ (หรือ 3 ครั้ง) ซึ่งข้าวเหนียวจะมี 3 สี ได้แก่ สีขาวเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของศาสนา สีเหลือง แทนความหมายของกษัตริย์ และสีแดงแทนความหมายของชาติ โดยในสมัยก่อน การหยิบปูโละเซอมางัตนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมและมีการตีความเสี่ยงทายความหมายการมีชีวิตคู่ภายหลังแต่งงานของคู่บ่าวสาวของชาวมลายูจากสีข้าวเหนียวที่ได้มีการเลือก แต่ในปัจจุบันความเชื่อดังกล่าวแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่แห่งนี้อีกแล้ว

ปัจจุบันงานมาแกปูโละของชาวมุสลิมหลายอย่างได้มีการปรับเปลี่ยนเชิงรูปแบบทางประเพณีพิธีการ ทั้งนี้เพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัยและสภาพทางสังคมเศรษฐกิจค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบในเชิงขั้นตอนหลักการทางศาสนาอิสลามนั้นยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คู่บ่าวสาวยุคใหม่อาจมีทั้งการเน้นรูปแบบการจัดงานเลี้ยงแต่งงานที่หรูหรา บางคู่อาจเน้นแนวเรียบง่าย แล้วแต่ความต้องการและฐานะทางเศรษฐกิจของผู้จัด เช่นเดียวกันกับผู้ที่มีส่วนสำคัญในการร่วมช่วยเหลือในวันจัดงานหรือเตรียมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในอดีตส่วนใหญ่จะมีญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้านในชุมชนมาช่วยเหลือในวันงาน แต่ปัจจุบันอาจมีการจ้างชาวบ้านหรือแม่ครัวจากภายนอกชุมชนมาช่วยทำอาหารในงานเลี้ยง มีการจ้างเยาวชนมาช่วยในการเสริฟอาหาร หรือแม้กระทั่งมีการปรับเปลี่ยนสถานที่ในการจัดเลี้ยงจากเดิมจัดงานที่บ้านคู่บ่าวสาว ซึ่งปัจจุบันอาจปรับเปลี่ยนเป็นจัดในร้านอาหารหรือโรงแรมแทน 

สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตรการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการจัดงานแต่งงานของชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแม้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากนักเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ร่วมส่วนหนึ่งในการปรับเปลี่ยนของผู้คนตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป 

ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลและอนุญาตให้ถ่ายภาพประกอบ

นายสมาน โดซอมิ

 

นางสาวอัสมะ สุหลง

บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง “การฟื้นฟูและถ่ายทอดความรู้การปลูกครามและทดลอง ก่อหม้อคราม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมคราม จังหวัดปัตตานี”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ในรอบปี 2566-2567 ที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่อง “การฟื้นฟูและถ่ายทอดความรู้การปลูกครามและทดลอง ก่อหม้อคราม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมคราม จังหวัดปัตตานี”

.

ตีพิมพ์ในวารสารวารสารปาริชาต สถาบันวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีที่ 37 ฉบับที่ 2 (2024): เมษายน – มิถุนายน

ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ที่ https://so05.tci-thaijo.org/index.php/parichartjournal/article/view/266686?fbclid=IwY2xjawHF2m5leHRuA2FlbQIxMAABHa542E9CwPqQTcdejLIky-tDFmhZViMDLUKKK12o0os5n37qCWSBsKONag_aem_KLwhl3RJ5ZoV7UTroPQ22A

.

ผู้เขียน:

นางสาวนราวดี โลหะจินดา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนานการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

.

Keyword: คราม, ก่อหม้อคราม, ผ้าย้อมสีครามธรรมชาติ, Indigofera, Making indigo paste pot, Natural indigo dyed fabric

.

ติดตามข่าวสารกิจกรรมของสถาบันฯ ได้ที่

Website : https://culture.psu.ac.th/

Facebook : https://www.facebook.com/culture.psu

Instagram : https://www.instagram.com/culture.psu/

Youtube : https://www.youtube.com/@culture_psu     

 

Tiktok: https://www.tiktok.com/@culture.psu

บทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง “ความเชื่อและพิธีกรรมตามบทบาทของผู้นำทางจิตวิญญาณใน ร่างทรงเทพเจ้าจีนที่มีต่อศาลเจ้าเมืองตรัง”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ในรอบปี 2566-2567 ที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่อง “ความเชื่อและพิธีกรรมตามบทบาทของผู้นำทางจิตวิญญาณในร่างทรงเทพเจ้าจีนที่มีต่อศาลเจ้าเมืองตรัง”

.

ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม โรงเรียนพระปริยัติสามัญวัดสระเรียง ปีที่ 7 ฉบับที่ 12 (2023): ธันวาคม 2566

ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ที่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSC/article/view/270229?fbclid=IwY2xjawHF2K1leHRuA2FlbQIxMAABHft0cst0xChboC62q0SWfM2m2l2ipR4GuvMgvl48h2ddCquj0EQ8fHvzQA_aem_TXg9OZmpNS6feOxMjxgOhw

 

.

ผู้เขียน:

นางอ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

ผศ.ดร.อารีย์ ธรรมโคร่ง สาขาวิชาศิลปะการคิดเพื่อการพัฒนามนุษย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.อ.

.

Keyword: ความเชื่อ พิธีกรรม บทบาท ร่างทรงเทพเจ้าจีน ผู้นำทางจิตวิญญาณ,
Belief Rituals Roles Chinese Deity Embodiment Spiritual Leader

.

ติดตามข่าวสารกิจกรรมของสถาบันฯ ได้ที่

Website : https://culture.psu.ac.th/

Facebook : https://www.facebook.com/culture.psu

Instagram : https://www.instagram.com/culture.psu/

Youtube : https://www.youtube.com/@culture_psu     

 

Tiktok: https://www.tiktok.com/@culture.psu

บทความวิจัย ในรอบปี 2566-2567 ที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง “การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวของวิสาหกิจชุมชน กลุ่มออมทรัพย์บุหงาซิเร๊ะ บ้านท่าคลอง จังหวัดปัตตานี”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ในรอบปี 2566-2567 ที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่อง “การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวของวิสาหกิจชุมชน กลุ่มออมทรัพย์บุหงาซิเร๊ะ บ้านท่าคลอง จังหวัดปัตตานี”

.

ตีพิมพ์ในวารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 (2023) ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ที่ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-la/article/view/265454?fbclid=IwY2xjawGxEgtleHRuA2FlbQIxMAABHSl9QAbZ0R24TDSqlhnaJEiOKFvSaB6FQx10oVsgtaXlQuCW32xIsdpdog_aem_wBnBFArGduYzUOxu1Md24A

.

ผู้เขียน:

– นิปาตีเมาะ หะยีหามะ นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

.

Keyword: ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว , ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าว, วิสาหกิจชุมชน, coconut products, packaging development, community enterprise

.

ติดตามข่าวสารกิจกรรมของสถาบันฯ ได้ที่

Website : https://culture.psu.ac.th/

Facebook : https://www.facebook.com/culture.psu

Instagram : https://www.instagram.com/culture.psu/

Youtube : https://www.youtube.com/@culture_psu     

 

Tiktok: https://www.tiktok.com/@culture.psu

ชวนอ่านบทความวิจัย ในรอบปีที่ได้รับการตีพิมพ์ เรื่อง“วิถีชีวิตตามพิธีกรรมและความเชื่อของคนเลี้ยงวัวชน กรณีศึกษา ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง”

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอเชิญชวนอ่าน #บทความวิจัย ในรอบปีที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่อง“วิถีชีวิตตามพิธีกรรมและความเชื่อของคนเลี้ยงวัวชน กรณีศึกษา ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดตรัง”

.

ตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรมโรงเรียนพระปริยัติสามัญวัดสระเรียง ปีที่ 8 ฉบับที่ 10 (2024): ตุลาคม 2567 ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลวารสาร TCI กลุ่ม 1

.

อ่านบทความวิจัยได้ที่ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/JSC/article/view/277150?fbclid=IwY2xjawGxEEpleHRuA2FlbQIxMAABHRBAt2w6anblwsAZieZva_4TxsDcaMRRikVXgXEu5bq9RdoHAvTXyo-v4A_aem_M0f-8I6Ck5ar9UkTYmRM5w

.

ผู้เขียน:

– นางอ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

– ผศ.ดร.อารีย์ ธรรมโคร่ง สาขาวิชาศิลปะการคิดเพื่อการพัฒนามนุษย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.อ.

– ผศ.ดร.อัมพร ศิลปเมธากุล สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ ม.อ.

.

Keyword:  วิถีชีวิต, พิธีกรรม, ความเชื่อ, คนเลี้ยงวัวชน, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, Lifestyle, Rituals, Beliefs, Cowherds, Local Wisdom

.

#วัวชน #วิถีชีวิตชาวบ้าน #ภูมิปัญญาท้องถิ่น #ตรัง #วัฒนธรรมพื้นบ้าน #บทความวิจัย #สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา #TCI #บทความน่าอ่าน #การศึกษาไทย #พิธีกรรมและความเชื่อ #สังคมศาสตร์ #มนุษยศาสตร์

.

ติดตามข่าวสารกิจกรรมของสถาบันฯ ได้ที่

Website : https://culture.psu.ac.th/

Facebook : https://www.facebook.com/culture.psu

Instagram : https://www.instagram.com/culture.psu/

Youtube : https://www.youtube.com/@culture_psu     

Tiktok: https://www.tiktok.com/@culture.psu

[บทความจุลสาร] วันวานยังหวานอยู่ : รำลึกบรรยากาศในอดีตกับขนมจีน น้ำแข็งใสในตลาดนัด

อากาศใกล้เที่ยงวันนี้ร้อนจัดย้อนแย้งกับวสันตฤดูยิ่งนัก ฉันรู้สึกอยากทานขนมจีนน้ำยาเครื่องแกงแบบชายแดนใต้ปิดท้ายด้วยน้ำแข็งไสให้เย็นชื่นใจในบรรยากาศแบบเก่าเมื่อสมัยยังเยาว์วัย จึงตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์คันเล็กไปเรื่อย ๆ ตามถนนสองเลนส์เล็ก ๆ ด้านหลังหน่วยงานที่ทำงาน จุดหมายปลายทางของฉันในวันนี้คือขนมจีนกับน้ำแข็งไสในตลาดสดและบางวันก็จะมีตลาดนัด ตลาดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่จังหวัดปัตตานีเราเรียกสั้น ๆ ว่า ตลาดพิธาน

หลังจากหาสถานที่จอดรถมอเตอร์ไซค์เสร็จ ฉันเดินตรงเข้าไปยังตลาดด้านซ้ายมือถัดจากร้านขายผลไม้สดและร้านขายปลาแห้ง ณ ที่แห่งนั้นคือจุดหมายแห่งการกินเพื่อรำลึกบรรยากาศแต่เก่าก่อนในวันนี้ ฉันสั่งขนมจีนน้ำยามาหนึ่งจาน ระหว่างที่รอแม่ค้าจัดเตรียมขนมจีน ฉันเลื่อนเก้าอี้ไม้แบบยาวให้เข้ามาชิดกับโต๊ะมากขึ้น ร้านนี้มีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละ 2 ตัว สำหรับจัดวางอาหารพร้อมนั่งทาน 1 ชุด และอีกชุดสำหรับนั่งทานเพียงอย่างเดียว

 

ร้านแห่งนี้มีขายเพียงขนมจีนน้ำยา น้ำแกงไตปลา น้ำแกงปลากะทิสีขาวสำหรับทานกับละแซ* (อาหารชนิดเส้นผลิตจากแป้งมีลักษณะคล้ายกับขนมจีนแต่เส้นแบน พบและเป็นที่นิยมทานกันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) กับน้ำแข็งไสซึ่งปรับรูปแบบมาไสกับเครื่องไฟฟ้าต่างจากสมัยก่อนที่ไสด้วยมือ

ระหว่างนั่งทานฉันได้ชวนแม่ค้าซึ่งเพิ่งทราบชื่อว่า กะเราะห์ คุยไปพลางๆ กะเราะห์เล่าว่าเริ่มขายขนมจีนกับน้ำแข็งไสมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เมื่อเรียบจบชั้นประมศึกษาปีที่ 6 ออกมาช่วยแม่ขายของอย่างเต็มตัว จนมีครอบครัว ตอนนี้กะเราะห์อายุ 52 ปี คิดเป็นระยะเวลาที่ขายขนมจีนกับน้ำแข็งไสตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 45 ปี พร้อมเล่าว่าสมัยก่อนร้านนี้จะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แต่เมื่อมีการปรับปรุงตลาดจึงได้ย้ายมาขายประจำฝั่งนี้ หากเดินมาจากด้านหน้าตลาดฝั่งห้างไดอาน่าร้านกะเราะห์จะอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนฝีมือ รสชาติอาหารที่ขายนั้นได้เรียนรู้ฝึกฝนและสืบทอดมาจากแม่ 

ร้านขนมจีนน้ำแข็งไสกะเราะห์จะเปิดตั้งแต่เวลา 09.00 .15.00 . เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์ เพราะตลาดจะปิดเพื่อทำความสะอาด ขนมจีนของร้านกะเราะห์มีลูกค้าที่หลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ขายในตลาด ชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของในตลาด หรือแวะมาเพื่อซื้อขนมจีนเจ้านี้โดยเฉพาะ ระหว่างที่ฉันนั่งทานอยู่นั้น สังเกตเห็นว่ามีลูกค้ามาซื้อขนมจีนกับน้ำแข็งไสตลอดเวลา มีทั้งที่นั่งทานที่ร้านและซื้อใส่ถุงกลับไปทานที่บ้าน ราคาของขนมจีนร้านนี้ไม่แพง จานใหญ่แบบอิ่ม ๆ จานละ 30 บาท น้ำแข็งไสถ้วยใหญ่ ถ้วยละ 20 บาท

ได้ทานขนมจีนรสชาติสไตล์ชายแดนใต้ในราคาไม่แพง ในบรรยากาศที่มีชีวิตชีวารายล้อมด้วยร้านค้าหลากหลาย เก้าอี้ไม้ยาวนั่งได้ 3-4 คน ระหว่างนั่งรอได้ยินเสียงน้ำแข็งไสครืด ๆ ทำให้นึกถึงบรรยากาศอันแสนสุขใจในวันวานที่วันนี้ยังพอหาซื้อและสัมผัสได้ ณ เมืองตานีชายแดนใต้แห่งนี้

ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลและอนุญาตให้บันทึกภาพ

กะเราะห์ ร้านขนมจีนกะเราะห์ ตลาดนัดพิธาน จังหวัดปัตตานี

 

เรียบเรียงบทความจุลสาร

โดย รอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัยสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

ปริศนาธรรมจากประเพณีทำศพ

การอาบน้ำศพ ทางพราหมณ์นิยมกันว่าเพื่อล้างบาปให้แก่ผู้ตาย ทางศาสนาอิสลามนิยมกันว่า
การอาบน้ำทาแป้งให้แก่ศพผู้ตายอย่างหมดจดแล้ว เมื่อผู้ตายไปเกิดชาติใดรูปร่างจะได้สะสวยหมดจดงดงาม ทางศาสนาพุทธจะอาบน้ำแล้วลงขมิ้นชันสดตำขัดสีและฟอกด้วยส้มมะกรูดมะนาว อาบน้ำหอมทากระแจะและเครื่องปรุงอื่น ๆ ตามที่ควรจะหาได้

          การแต่งตัวศพ แต่งตัวให้ไปเกิด การนุ่งผ้าให้แก่ศพ ซึ่งมีการนุ่งข้างหลังแล้วนุ่งข้างหน้านี้ เพื่อให้พิจารณาให้แจ้งว่าสัตว์ที่เกิดมาย่อมเกิดด้วยทิฐิ และตายด้วยทิฐิ มีอวิชชาปิดหลังปิดหน้า มีตัณหาเกี่ยวประสานกันดังเรียวไม้ไผ่

 เงินใส่ปาก เพื่อให้เป็นทางพิจารณาว่า คนเกิดมาแล้วย่อมลุ่มหลงอยู่ด้วยทรัพย์สมบัติเที่ยวทะเยอทะยานขวนขวายหาด้วยทางสุจริตแล้วไม่พอแก่ความต้องการ ยังพยายามแสวงหาในทางทุจริตอีก เมื่อได้มาแล้วอดออมถนอมไว้ไม่ใช้จ่ายในทางที่ควร ทรัพย์เช่นนี้เรียกว่าเป็นทรัพย์ภายนอก เมื่อตายไปแล้วแม้แต่เขาเอาใส่ปากให้ก็นำเอาไปไม่ได้ ย่อมเป็นเหยื่อของผู้อื่นทั้งสิ้น อีกทางหนึ่งกล่าวกันว่า ใส่ไว้เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำไปเผา

ขี้ผึ้งปิดหน้าศพ เพื่อป้องกันความอุจาด เพราะบางศพลืมตาค้างปิดไม่ลงบ้าง บางศพอ้าปากบ้าง

กรวยดอกไม้ธูปเทียน ให้ถือไปเพื่อจะได้ไหว้พระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

การมัดศพ ให้ศพถือกรวยดอกไม้ธูปเทียนแล้วใช้ด้ายดิบเส้นขนาดนิ้วก้อยทำเป็นบ่วงสวมคอเป็นบ่วงแรก บ่วงที่ 2 รัดรวบหัวแม่มือและข้อมือทั้ง 2 ข้างให้ติดกัน บ่วงที่ 3 รัดรวบหัวแม่เท้าและข้อเท้าทั้ง 2 ข้างให้ติดกันเรียกกันว่าตราสังกรือดอยใน การทำบ่วงสวมคอ ผูกมือและเท้าเป็น 3 บ่วงด้วยกันนั้น มีความหมายผูกเป็นโคลง 4 สุภาพ ดังนี้

                   มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว                 พันคอ

ทรัพย์ผูกบาทาคลอ                           หน่วงไว้

ภรรยาเยี่ยงบ่วงหนอ                          รึงรัด มือนา

สามบ่วงใครพ้นได้                             จึ่งพ้นสงสาร.

การเผาศพ : มีดที่ตัดเชือกหรือด้ายที่ผูกศพ ได้แก่ ดวงปัญญา ด้ายนั้นได้แก่ โลโภ โทโส โมโห อันว่า โลโภ โทโส โมโห นั้น ต้องตัดด้วยดวงปัญญา จึงจะขาดได้ ที่ว่าเอากิ่งไม้วางเหนือศพนั้นเพื่อจะไม่ให้ผ้าที่บังสุกุลเปื้อนศพที่มีน้ำเหลือง การที่นิมนต์พระมาชักมหาบังสุกุลนั้น ก็เพื่อให้ท่านมาปลงกรรมฐานและรับผ้านั้นเป็นไทยทาน จัดเป็นการกุศลส่วนหนึ่ง

การคว่ำหน้าศพลง เมื่อเวลาศพถูกไฟจะได้ไม่งอตัวเข้ามาได้ ถ้าเผาในท่านอนหงายศพนั้นมักงอเท้าสูงเชิงขึ้นได้

การเวียนเชิงตะกอนสามรอบ หมายความว่า เมื่อแรกเกิดมานั้นเป็นเด็ก แล้วถึงคราวเป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วก็แปรผันไปอีกจนถึงความชรานี้ชื่อว่า อนิจจัง การที่แปรปรวนไปนั้นมีความเจ็บไข้ได้ทุกข์ทนยากชื่อว่า
ทุกขัง ในที่สุด ถึงความสลายไปคือแตกทำลายตายจากภพนี้ จะเอาอะไรไปเป็นสาระหาได้ไม่ ชื่อว่า อนัตตา การเวียนสามรอบนั้น คือ หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

การนำสตางค์ทิ้งลงในเชิงตะกอน แปลว่าเป็นการซื้อที่ให้ผีผู้ตายอยู่ มีเรื่องเล่ากันมาว่า เจ้าภาพ
งานศพไม่ได้ซื้อที่ให้ผีอยู่ในเวลาเผา เมื่อเผาแล้วผีไม่มีที่อยู่ ก็เที่ยวรบกวนหลอกหลอนต่าง ๆ ภายหลังเจ้าภาพได้ซื้อที่ให้ผีแล้ว จึงไม่เที่ยวหลอกหลอนต่อไปอีก

          การที่เอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เป็นปัญหาธรรมว่าสิ่งสะอาดล้างสิ่งสกปรก คือ กุศลธรรม ย่อมล้างซึ่งอกุศลธรรม

          การห้ามไม่ให้ต่อไฟกัน เพราะไฟนั้นเป็นของร้อน ถ้าต่อกันก็ติดเนือง ๆ สืบกันไปเหมือนคนผูกเวร
เวรย่อมไม่สิ้นสุดลงได้ การที่ท่านไม่ให้ต่อก็คือชี้ทางแห่งการระงับเวร การเอาผ้าโยนข้ามไฟ 3 ครั้ง คือแสดงถึงการข้ามของร้อน มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นมูล ต้องข้ามด้วยธรรม อันเป็นอันเป็นไปในทางบริสุทธิ์ คือ
พระอธิยมรรค อริยผล และพระนิพพาน

 

          การชักไฟสามดุ้น คือแสดงว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นของร้อน เปรียบเหมือนไฟสามดุ้นนั้น เมื่อ
ตัดราคะ โทสะ โมหะ เสียได้แล้ว ก็จะต้องได้รับความสุขคือ ปราศจากเครื่องร้อนทั้งปวง และเมื่อมาถึงบ้านให้ล้างหน้าและอาบน้ำนั้น เป็นการรักษาอนามัยอย่างดี ถ้ายกขึ้นสู่ปัญหาธรรมก็คือ ให้ล้างความชั่วด้วยความดีนั่นเอง.

___________________________________

เรียบเรียงโดย อ้อมใจ วงษ์มณฑา นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

ประเพณีสารทเดือนสิบ ตำบลคอกกระบือ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี

ความหมายสารทเดือนสิบ

          ประเพณีสารทเดือนสิบ ภาษาท้องถิ่นใต้ เรียกว่า ประเพณีชิงเปรต เป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วไปของภาคใต้ สำนักงานโบราณคดี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 11 นครศรีธรรมราช   กรมศิลปากร (2542)  กล่าวว่า ประเพณีสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอินเดีย ทั้งนี้เพราะว่าชาวนครติดต่อกับอินเดียมานาน ก่อนดินแดนส่วนอื่น ๆ ของประเทศไทย วัฒนธรรมและอารยธรรมของอินเดียส่วนใหญ่จึงถ่ายทอดมายังเมืองนครเป็นแห่งแรกแล้วค่อย ๆ ถ่ายทอดไปยังเมืองอื่นๆและภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศไทย  ประเพณีสารทเดือนสิบเป็นประเพณีที่วิวัฒนาการมาจาก ประเพณี “เปตพลี ” ของศาสนาพราหมณ์ กล่าวคือในศาสนาพราหมณ์มีประเพณี เรียกว่า ” เปตพลี” ที่จัดทำขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ประเพณีนี้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาในอินเดียก่อนสมัยพุทธกาล

          คำว่า “เปต” เป็นภาษาบาลีตรงกับคำว่า “เปรตในภาษาสันสกฤตแปลว่า “ผู้ไปก่อน” หมายความถึงบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว ถ้าเป็นคนดี พญายมซึ่งเป็นเจ้าแห่งความตายจะพาวิญญาณไปสู่แดนอันเป็นบรมสุข อันเป็นความเชื่อดังเดิมที่สุดของพราหมณ์ซึ่งมีปรากฏในคัมภีร์พระเวท ต่อมาพราหมณ์ได้เกิดความเชื่อเกี่ยวกับนรก ดังนั้น ชาวอินเดียจึงเกรงว่าบรรพบุรุษที่ตายอาจจะไปตกนรก วิธีการช่วยไม่ให้คนตกนรกก็คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เรียกว่าพิธีศราทธ์ ซึ่งกำหนดวิธีการทำบุญไว้หลายวิธี หากลูกหลานญาติมิตรไม่ทำบุณอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษที่ตายไปเป็นเปรตจะได้รับความอดยากมาก ดังนั้น การทำบุญทั้งปวงเพื่ออุทิศผลไปให้แก่ผู้ล่วงลับ ซึ่งเรียกว่า การทำบุญทักษิณานุปทานหรือเปตพลี

                       

ความสำคัญสารทเดือนสิบ

          วัตถุประสงค์ประเพณีวันสารทเดือนสิบ(ชิงเปรต) ตามปกติทั่วไปทำบุญตามพิธีกรรม 2 ครั้งต่อปี ครั้งแรกตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านเรียกว่า วันรับเปรต หรือ วันรับตายาย ชาวบ้านเชื่อว่า ญาติผู้ล่วงลับ เคยหลงผิดทำกรรมชั่ว ได้ถูกกักขังไว้ในยมโลก ไม่มีความเป็นอิสระด้วยผลกรรม หนึ่งปีจะได้ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ 15 วัน หลังจากนั้น  บรรดาวิญญาณญาติ ๆ จะถูกกลับไปสู่ความไม่เป็นอิสระในยมโลกอย่างเดิม จนกว่าจะหมดบาปกรรม จึงมีการทำบุญครั้งที่สอง ตรงกับแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า วันส่งเปรตหรือ “วันส่งตายาย”  หรือ วันรับเปรต ตามความรู้สึกของชาวบ้านเหมือนกับเป็นวัน รับตายาย ด้วยสาเหตุมาจากสังคมในอดีตเป็นครอบครัวขยาย มีความรักความผูกพันระหว่างสมาชิกในครอบครัวมีสูง เมื่อตายายที่ล่วงลับไปแล้ว  กลับมาเยี่ยมลูกหลานในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ดังนั้นสมาชิกภายในครอบครัวต้องไปวัดรับศีล 5 กวาดบ้านเรือนให้สะอาด อย่าทะเลาะเบาะแว้งตลอดเวลา 15 วัน เพราะตายายจะได้กลับไปอย่างมีความสุข ได้เห็นบุตรหลานอยู่ในศีลธรรม มีความรักความสามัคคีภายในครอบครัว 

ภาพพื้นที่วัดมหิงสาราม ตำบลคอกกระบือ

สัญลักษณ์ทางพิธีกรรมสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ

          1. ร้านเปรต หรือหลาเปรต สัญลักษณ์สำคัญสำหรับวางอาหารหรือขนมเดือนสิบชนิดต่าง ๆสำหรับวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยจากภพภูมิ  บางวัดไม่มีการสร้างหลาเปรต ใช้วิธีจัดแจงอาหารและขนมสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมจัดไว้ในถาดรวมกันกับเหล่าบรรดาญาติพี่น้อง เพื่อนำไปวางไว้บริเวณใดบริเวณหนึ่งของวัด และบางวัดจัดเตรียมถาดเปรตภายนอกวัดสำหรับเปรตที่เข้าวัดไม่ได้ เพราะมีบาปหนา  การสร้างหลาเปรตมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบแรกหลาเปรตทรงสูง สำหรับเปรตที่มีลักษณะบาปกรรมทำให้ลำตัวสูง ไม่สามารถสังเวยเครื่องเซ่นบนหลาเปรตเหมือนคนธรรมดาได้ จึงต้องสร้างหลาเปรตให้มีระดับสูงกว่าปกติธรรมดา แบบที่สอง จัดแจงไว้บนแคร่หรือบนผืนเสื่อหรือที่ต่ำเพื่อให้เปรตที่มีความสูงไม่มากนักได้รับประทาน  หลาเปตรทั้งสองแบบสำหรับให้ชาวบ้านได้นำอาหารคาวหวานและสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมอื่น ๆ มาวางไว้สำหรับเซ่นไว้บรรดาเหล่าญาติ นอกจากนั้น หลาเปรตทรงสูงยังใช้สำหรับการแข่งขันเพื่อความบันเทิง

           ลักษณะหลาเปรตบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 แบบ แบบทรงเตี้ยสำหรับใช้วางอาหารคาวหวาน ขนมพิธีกรรม สำหรับอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตและบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว จะสร้างไว้ตั้งแต่การทำบุญพิธีกรรมวันรับเปรตจนกระทั่งวันส่งเปรต ส่วนหลาเปรตทรงสูงนิยมสร้างไว้ประกอบพิธีกรรมในช่วงประกอบพิธีกรรมสุดท้าย คือ ทำบุญส่งเปรต นอกจากเป็นสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมแล้วยังใช้ในการแข่งขันปีนหลาเปรต ลักษณะหลาเปรตทรงสูงพบทั่วไปมี  2 แบบ คือ หลาเปรตทรงสูงแบบเสาเดี่ยวกับหลาเปรตทรงสูงสองเสา สำหรับแข่งขันปีนหลาเปรต เพื่อความสนุกสนาน ปัจจุบันหลาเปรตทรงสูงเริ่มเลื่อนหายไปหลายพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

หลาเปรตหรือร้านเปรตตำบลคอกกระบือ

            ส่วนหลาเปรตประเพณีสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ รูปแบบเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน และตามลักษณะสังคมภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามา ผู้คนมีโอกาสทางการศึกษา ประกอบอาชีพ และเคลื่อนย้ายไปใช้ชีวิตในสังคมของจังหวัดอื่น ๆ  การรวมตัวประกอบพิธีกรรมเริ่มอ่อนแอลง การสร้างสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมอย่างเช่นในอดีตเป็นเรื่องลำบาก เพราะครอบครัวขยายเริ่มกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ชาวบ้านไม่มีเวลากับกิจกรรมส่วนรวม มุ่งเน้นอาชีพหลักของตนเอง ประเสริฐ สุวรรณน้อย (2555) กล่าวว่า หลาเปรตในอดีตจะสร้างรูปแบบคล้ายคลึงกับพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะหลาเปรตสูงจะใช้ทั้งด้านพิธีกรรมและการแข่งขัน ซึ่งชาวบ้านจะร่วมกันวางแผน หลาเปรตในอดีตนิยมใช้ไม้เสาเดียว กุศโลบายเพื่อความสนุกสนาน ช่วงการแข่งขันปีนป่าย โดยเสาเปรตใช้ไม้พญาชุ่มเรียง ซึ่งเป็นต้นไม้ท้องถิ่น จากนั้นนำเปลือกไม้พญาชุ่มเรียงแช่น้ำไว้ค้างคืน เพื่อทำให้ต้นเสาเปรตเพิ่มความรื่นไหลบนร้านเปรตจะมีสิ่งของต่าง ๆ เช่น เสื้อ ผ้าถุง ผ้าข้าวม้า เงินรางวัล และขนมต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมแข่งขันการ    ปีนป่ายร้านเปรตเข้ามาชิงชัย ซึ่งเป็นกิจกรรมกึ่งบันเทิงที่ได้ปฏิบัติกันมา  กลายเป็นรูปแบบหรือองค์ประกอบหนึ่งของประเพณีสารทเดือนสิบ ปัจจุบัน ตำบลคอกกระบือนิยมสร้างหลาเปรตเน้นความสะดวกสบาย รวดเร็ว เพียงเพื่อใช้การวางอาหารคาวหวานในพิธีกรรม ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมทำหลาเปรตอย่างเช่นในอดีต คณะกรรมการวัดวางแผนจัดทำหลาเปรตสำเร็จรูปทรงเตี้ยสำหรับวางอาหารคาวหวาน และเครื่องอุปโภคสำหรับอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ เป็นเหตุให้หลาเปรตทรงสูงเลื่อนหายไปประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีการคิดฟื้นฟูหลาเปรตทรงสูงเพื่อการแข่งขัน ความสนุกสนานอย่างเช่นในอดีต 

          2. ขนมพิธีกรรมวันสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ

          ส่วนการเตรียมสัญลักษณ์ทางพิธีกรรม โดยเฉพาะขนมพิธีกรรม 5 อย่างตามความเชื่อที่ได้สืบทอดต่อ ๆ กันมาคือ

          ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
          ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับบุรพชนใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ
          ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับบุรพชนจะได้ใช้เล่นสะบ้า ในวันสงกรานต์
          ขนมกง (ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
          ขนมดีซำ หรือขนมเจาะรู หรือ ขนมเจาะหู เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ย สำหรับใช้สอย

ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กับเหล่าเปรต หรือ บรรดาเหล่าญาติที่กลับมาเยี่ยมบุตรหลาน เพื่อจะได้นำไปใช้ในภพภูมิของตนเอง ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยผลกรรม สำหรับตำบลคอกกระบือ ประเพณีเดือนสิบมุ่งเน้นสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้กับบรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ได้มุ่งเน้นสัญลักษณ์พิธีกรรมความเชื่อเหมือนกับพื้นที่อื่น ๆ เน้นสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับนำไปใช้การดำเนินชีวิตเหมือนกับคนปกติธรรมดา จึงจัดเตรียมอาหารหวานคาว เช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวต้มมัด ขนมท้องถิ่นชนิดต่าง ๆ

ประเภทเครื่องใช้ เช่น หมากพลู เปลือกระมัง หรือลูกมะกรูดสำหรับสระผม (ปัจจุบันนิยมซื้อแฟซา) เงิน (สำหรับการจับจ่ายซื้อสินค้า) ยาเส้น ข้าวตอก และสิ่งอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน การใช้สิ่งของเหล่านี้เพื่ออุทิศไปให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับจะได้นำไปใช้ในภพภูมิที่ตนเองสถิตอยู่  (ซิ้ม ตัณฑพงษ์, 2556)   สัญลักษณ์เหล่านี้ใส่ในใบกะพ้อที่ห่อเป็นรูปข้าวต้มมัด นำมามัดรวมกันเป็นแถวยาว เป็นสิ่งที่ได้สืบทอดติดต่อกันมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันชาวบ้านนิยมจัดซื้ออาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคตามสมัยนิยมที่ขายตามตลาดแต่ละชนิดบรรจุใส่ถุงพลาสติก 

สัญลักษณ์พิธีกรรมสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ

สัญลักษณ์ทางพิธีกรรมเหล่านี้จัดเป็นเครื่องเซ่นที่จะอุทิศไปให้กับผู้ล่วงลับกลับนำไปใช้ในภพภูมิที่สถิตอยู่ตามผลของบุญและกรรม ญาติจะนำไปวางไว้บนหลาเปรต ช่วงเวลาชิงเปรต บุตรหลานต้องการร่วมพิธีชิงเปรตด้วยพ่วงสัญลักษณ์เหล่านี้ เพราะข้างในมีสิ่งของจำเป็นต่อผู้ล่วงลับ และสำหรับแต่ละครอบครัวใช้สัญลักษณ์เหล่านี้อย่างน้อย 1 พ่วงเพื่อนำไปแขวนไว้ตามต้นไม้ในสวนของตนเอง เชื่อว่า ต้นไม้ที่แขวนด้วยสัญลักษณ์ที่ได้จากการชิงเปรตจะทำให้มีผลดก เจริญเติบโต มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่มีแมลง หรือโรคอื่น ๆ มาทำร้ายให้ต้นไม้ตายได้

 

ขั้นตอนของพิธีกรรมวันรับเปรต เลี้ยงเปรต และส่งเปรตตำบลคอกกระบือ  

          ประเพณีสารทเดือนสิบ หรือ วันชิงเปรต ตำบลคอกกระบือมีอยู่ 2 แบบ คือ กิจกรรมทำบุญ 2 ครั้ง/ปี คือ วันรับเปรต และวันส่งเปรต และปีใดมีเดือน 8 สองครั้งนับตามจันทคติ จะประกอบพิธีกรรม 3 ครั้ง/ปี คือ วันรับเปรต วันเลี้ยงเปรต และวันส่งเปรต ซึ่งแตกต่างจากพื้นอื่น ๆ ในภาคใต้

1. ประกอบพิธีกรรม 2 ครั้ง ครั้งแรกตรงกับแรม 1 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า วันรับเปรต หรือ วันรับตายาย  ชาวบ้านเชื่อว่า ญาติผู้ล่วงลับ เคยหลงผิดทำกรรม ได้ถูกกักขังไว้ในยมโลก ไม่มีความเป็นอิสระด้วยผลกรรม หนึ่งปีจะได้ถูกปลดปล่อยให้มีความเป็นอิสระ 15 วัน หลังจากนั้น  บรรดาญาติ ๆ จะถูกกลับไปสู่ความไม่เป็นอิสระในยมโลกอย่างเดิม จนกว่าจะหมดบาปกรรม จึงมีการทำบุญครั้งที่สอง ตรงกับแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เรียกว่า วันสารทเดือนสิบ  ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วันส่งเปรต”  หรือ  วันส่งตายาย

2. ประกอบพิธีกรรม 3 ครั้ง นับวันประกอบพิธีกรรมตามจันทรคติ ปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ต้องประกอบพิธีกรรมสารทเดือนสิบ 3 ครั้ง คือ

วันรับเปรต ประกอบพิธีกรรมวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านเรียกว่า วันรับเปรต หรือ วันรับตายาย ตามความเชื่อเหมือนกับพื้นที่อื่น ๆ ของภาคใต้ ว่าวิญญาณของเครือญาติหรือเพื่อนสนิทมิตรสหาย ได้จากโลกนี้ไปด้วยผลแห่งบุญกรรมได้กลายเป็นเปรตอยู่ในขุมนรก เดือนสิบของทุกปี พวกเปรตเหล่านี้ได้ถูกปล่อยมาสู่โลกมนุษย์เพื่อมารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติ ๆ เพื่อคลายจากความอดยาก หิวโหย

วันเลี้ยงเปรต ประกอบพิธีกรรมวันแรม 8 ค่ำ เดือน 10 หรืออีก 7 วันหลังจากวันรับเปรต ชาวบ้าน เชื่อว่า ปีใดเดือน 8 ครั้ง ต้องประกอบพิธีกรรม วันเลี้ยงเปรตด้วย เพราะเปรตที่ถูกปลดปล่อยมาจากภพภูมินั้นที่แท้ คือ บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว กลับมาเยี่ยมบุตรหลาน ดังนั้น บุตรหลานคิดว่า บรรพบุรุษต้องเฝ้าดูแลบุตรหลานอยู่ตลอดช่วงเวลายาวนาน จึงได้มีการจัดพิธีกรรมเลี้ยงบรรพบุรุษ เรียกว่า วันเลี้ยงเปรต

          วันส่งเปรต ตรงกับแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวบ้านเรียกว่า วันส่งเปรต หรือ วันส่งตายาย ตามหมายกำหนดของช่วงเวลาที่ได้รับการปลดปล่อยมาพบกับลูกหลานในเมืองมนุษย์ เพื่อรับผลบุญกุศลจากบุตรหลานที่ได้อุทิศให้ จนกว่าจะหมดเคราะห์กรรม

ดังนั้นพิธีกรรมวันสารทเดือนสิบ หรือ ชิงเปรต ตำบลคอกกระบือ ประกอบพิธีกรรมแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะปีใดมีเดือน 8 สองหนตามจันทรคติ ประกอบพิธีกรรม 3 ครั้ง คือ วันรับเปรต วันเลี้ยงเปรต และวันส่งเปรต เนื้อหาพิธีกรรมทั้ง 3 วันคล้ายคลึงกัน ซึ่งชาวบ้านให้ความสำคัญกับพิธีวันส่งเปรตมากกว่าวันรับเปรต และวันเลี้ยงเปรต  สังเกตได้จากบุตรหลานมีถิ่นอาศัยอยู่ตามจังหวัดอื่น ๆ ต้องหาโอกาสมามาร่วมพิธีกรรมสารทเดือนสิบช่วง วันส่งเปรต

          กิจกรรมทางพิธีกรรมดังกล่าวข้างต้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาเช้า ชาวบ้านทยอยเข้ามาในวัด เพื่อนำสิ่งของมาวางบนหลาเปรตและจุดธูปเทียน ถวายดอกไม้ตามความเชื่อว่า การนำสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมวางไว้บนหลาเปรต ถือว่าเป็นเครื่องเซ่นสังเวยที่จะอุทิศไปสู่ผู้ล่วงลับ  ชาวบ้านต้องจุดธูปเทียน วางดอกไม้ บริเวณหลาเปรต สื่อความหมายแทน พระพุทธ  พระธรรม และพระสงฆ์ ตามความศรัทธาทางพระพุทธศาสนา และกลิ่นควันจากธูป เทียน และกลิ่นดอกไม้ที่นำมาอธิษฐานจะทำให้วิญญาณผู้ล่วงลับรับรู้ และส่งไปสู่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ หรือ เหล่าญาติที่ได้ถูกปลดปล่อยให้มาพบกับบุตรหลาน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวพุทธ 

การอธิษฐานจิตวันสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ

คำอธิษฐานจิต นอกจากระลึกถึงบรรพบุรุษแล้ว ชาวพุทธบริเวณนี้ยังตั้งจิตอธิษฐานให้กับผู้ล่วงลับจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าเทศกาลตรุษจีน มีผู้เสียชีวิต 5 คน และบาดเจ็บอีก 4 คน และบรรดาบุตรหลานของชาวบ้านคอกกระบือที่เสียชีวิตในช่วงขณะเดินทางประกอบอาชีพอีกหลายคน และตั้งจิตอธิษฐานให้เหตุการณ์บ้านเมืองคลี่คลายไปในทิศทางสงบ และไม่มีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นในชุมชนที่จะนำมาสู่การสูญเสีย ซึ่งสัญลักษณ์พิธีกรรมแบบนี้จะสำเร็จได้จากคำอธิฐานด้วยพลังแห่งบุญที่ได้กระทำในครั้งนี้ นอกจากนั้น ชาวบ้านจัดสำรับอาหารคาวหวานเพื่อถวายให้กับพระภิกษุสงฆ์ ผู้เป็นสื่อกลางการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปสู่ผู้ที่ล่วงลับ โดยไม่มีการตักบาตรแต่จะใช้สำรับถวายเปรียบเหมือนกับพิธีกรรมการตักบาตร  เมื่อถึงเวลา ประมาณ 10.00 น. มรรคทายกจะตีระฆังเพื่อส่งสัญญาณให้ชาวบ้าน ได้มานั่งรวมกันภายในศาลา และบริเวณโดยรอบ เพื่อประกอบพิธีกรรมช่วงเช้า ด้วยการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ จากการรับศีล และพระสงฆ์สวดบังสุกุล โดยไม่มีการเทศนา ถ้าเป็นพื้นที่อื่น ๆ จะมีการเทศนา 1 กัณฑ์ เนื้อหาการเทศน์จะเน้นเรื่อง  ผลกรรม วิบากกรรมที่ทำตนเองให้ทนทุกข์ทรมานกลายเป็นเปรต  และสอนบุตรหลานเรื่องความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ

เมื่อเสร็จขั้นตอนพิธีกรรมสงฆ์ บางพื้นที่ชาวบ้านต้องตระเตรียมขันข้าวเพื่อตักบาตรให้กับญาติผู้ล่วงลับ  แต่ชาวบ้านตำบลคอกกระบือจะใช้ปิ่นโตแทนสื่อสัญลักษณ์การตักบาตร ด้วยการนำปิ่นโตไปถวายกับพระภิกษุสงฆ์ผู้ประกอบพิธีกรรมเพื่ออธิษฐานจิตระลึกถึงญาติพี่น้องผู้ล่วงลับให้ได้รับส่วนบุญกุศล  เป็นการแสดงความกตัญญูและอุทิศให้ญาติผู้ล่วงลับได้อิ่มหนำสำราญไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความหิวโหย การส่งเครื่องเซ่นเหล่านี้ไปสู่บรรพบุรุษได้ คือ การกรวดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายแห่งพิธีกรรมที่ต้องหลั่งน้ำเปรียบเหมือนกระแสแห่งน้ำที่จะนำพาสิ่งอธิษฐานไปสู่เป้าหมายแห่งจิตได้ 

การกรวดน้ำวันสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ

         การกรวดน้ำ เป็นสื่อสัญลักษณ์สำคัญช่วงสุดท้ายพิธีกรรมที่จะต้องหลั่งน้ำลงสู่พื้นดินเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลจากการทำบุญในครั้งนี้ไปสู่ผู้ล่วงลับ วิธีกรวดน้ำมีความสำคัญด้านจิตใจของ   บุตรหลานจึงต้องรวมกันเป็นครอบครัวเพื่อกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญในครั้งนี้ จากการสังเกตการกรวดน้ำ ชาวบ้านจะกรวดน้ำภายในศาลาตามธรรมเนียมการปฏิบัติการถวายสังฆทาน เมื่อเสร็จพิธีกรรมในศาลาแล้ว แต่ละครอบครัวนำบุตรหลานมาสู่บริเวณหลาเปรตเพื่อจะได้กรวดน้ำอุทิศไปให้กับบรรพบุรุษอีกครั้ง ซึ่งเป็นความเชื่อว่า การกรวดน้ำบริเวณหลาเปรตนี้จะได้ใกล้ชิด และสื่อสารไปยังบรรพบุรุษได้

          ขั้นตอนพิธีกรรมวันสารทเดือนสิบของตำบลคอกกระบือ ไม่ว่าจะเป็น “วันรับเปรต” “วันเลี้ยงเปรต” และ “วันส่งเปรต” พิธีกรรมคล้ายคลึงกัน เสร็จสิ้นหลังจากการกรวดน้ำ ชาวบ้านและเด็กจะรอช่วงเวลาการชิงเปรตประมาณ 13.00 น. จะมีเด็ก ๆ และชาวบ้านมายืนล้อมหลาเปรตเพื่อต้องการสนุกสนานการชิงเปรต ซึ่งพระภิกษุสงฆ์ต้องสวดอนุโมทนากถา เพื่อให้ชาวบ้านได้กรวดน้ำอีกครั้ง เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับ จากนั้นพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นประธานในพิธีจะดึงสายสิญจน์ที่เชื่อมต่อระหว่างประธานในพิธีสงฆ์กับหลาเปรต เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ถึงการเสร็จสิ้นขั้นตอนพิธีกรรม ทุกคนที่ยืนรอจะวิ่งขึ้นไปบนร้านเปรตเพื่อร่วมสนุกสนานในการ ชิงเปรต  

บรรยากาศการชิงเปรตตำบลคอกกระบือ

            สรุปวันสารทเดือนสิบตำบลคอกกระบือ (คอกควาย) ได้สืบทอดพิธีกรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรูปแบบพิธีกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกทางสังคมของระยะเวลา จากการสังเกตการณ์ ชุมชนมีแนวคิดการตระเตรียมสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมไม่ว่า อาหารคาวหวาน ขนม หรือการจัดทำหลาเปรต เน้นความสะดวกสบาย ด้วยการจัดซื้อสิ่งของจำเป็นตามท้องตลาด ร้านค้า ส่วนการประกอบพิธีกรรมดำเนินไปตามปกติทั่วไป มีเฉพาะเด็กในชุมชนที่ค่อยความหวังในการร่วมสนุกในการชิงเปรต เพราะกิจกรรมกึ่งบันเทิงอื่น ๆ เริ่มเลือนหายไป   

เรียบเรียงบทความโดย

ประสิทธิ์ รัตนมณี นักวิจัย สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

[บทความสั้น] ประเพณีอาซูรอ

ประเพณีอาซูรอ เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส “อาซูรอ” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึงวันที่ ๑๐ ของเดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม ชาวไทยมุสลิมนิยมกวนขนมอาซูรอกันในเดือนนี้จึงเรียก ขนมอาซูรอ ประวัติความเป็นมาของการกวนขนมอาชูรอ สืบเนื่องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยนบีนุฮ อะลัยฮิสสลาม ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชน และสาวกของนมีนุฮ อะลัยฮิสสลาม และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮฺ อะลัยฮิสสลาม จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน และให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน เมื่อปรุงเสร็จแล้ว จึงนำมาแจกจ่ายให้ทุกคนรับประทานกัน และการคิดปรุงอาหารชนิดใหม่ขึ้นมาจึงทำให้มุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.) ทุกคนรอดพ้นจากความอดอยากหิวโทย ท่านนบีนุฮ อะลัยฮิสสลาม และครอบครัว รวมทั้งสหายของท่านระลึกถึงพระคุณของอัลเลาะห์ (ซ.บ.) จึงได้ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

.

สำหรับขั้นตอนและพิธีการในการปฏิบัติของประเพณีอาซูรอมีดังต่อไปนี้

เมื่อถึงวันที่๑๐ เดือนมุฮัรรอม ชาวไทยมุสลิมจะจัดพิธีอาซูรอ โดยจะจัดทำขึ้นในแต่ละบ้านของตนเองก็ได้ หรือจะจัดร่วมกันที่มัสยิดก็ได้ เมื่อบ้านใดจะทำอาซูรอก็จะประกาศ หรือบอกกล่าวให้คนในชุมชนทราบให้มาช่วยกันทำ คือแต่ละบ้านจะช่วยนำข้าวของ ได้แก่ มะพร้าว ข้าวสาร น้ำตาลทราย ถั่วเขียว เผือก มัน และอื่น ๆ การกวนข้าวอาซูรอ เริ่มด้วยการที่นำอาหารดิบเช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วยกัน แล้วปอกหั่น ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ มาเป็นเครื่องผสมโดยหั่นตัดให้เป็น ชิ้นเล็กๆ เช่นเดียวกัน สำหรับกะทิจะคั้นเฉพาะน้ำมาผสม

.

วิธีกวน: 

นำกระทะใบใหญ่ ตั้งไฟ มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกระทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วคนด้วยไม้พาย จนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาดโรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้งเนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชี หอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นขึ้นๆ แล้วนำขนมไปแจกจ่ายให้ทุกคนในชุมชน ตลอดจนเพื่อนบ้านต่างศาสนาก็จะได้รับประทานขนมนั้นด้วย ปัจจุบันนี้พิธีกวน อาซูรอถือเป็นประเพณีประจำปี ที่มีทั้งหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในจังหวัดปัตตานีร่วมมือกันจัด และมีการปรับปุรงสูตรที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

.

_

📌ร่วมเรียนรู้วัฒนธรรมร่วมกัน (Learn Culture Together)

ชมนิทรรศการ ความรู้ วันสำคัญ ประเพณีต่างๆในสามจังหวัดชายแดใต้

ที่ หอวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

.

#อาซูรอ #ปฏิทินอิสลาม #ขนมอาซูรอ