สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา จัดโครงการ “ลวดลายมลายูสู่การสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่า” ส่งเสริมเยาวชนร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านการออกแบบสร้างสรรค์

✨สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา จัดโครงการ “ลวดลายมลายูสู่การสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่า” ส่งเสริมเยาวชนร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านการออกแบบสร้างสรรค์ ✨

.

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดโครงการ “ลวดลายมลายูสู่การสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มมูลค่า” ระหว่างวันที่ 9–10 กรกฎาคม 2568 ณ หอศิลป์ภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา โดยมีเยาวชนและคณาจารย์จากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมจำนวนกว่า 30 คน

.

โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เกี่ยวกับลวดลายมลายู พร้อมส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ อาจารย์อับดุลฮากีม ยูโซ๊ะ ศิลปินอิสระผู้ชำนาญด้านลวดลายมลายู และอาจารย์พิเศษสาขาศิลปกรรม มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ วิทยานุสรณ์ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับลวดลายพื้นฐาน รวมถึงนายซามาน อูมา ศิลปินอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านลวดลายเรือกอและ ถ่ายทอดเทคนิคการออกแบบลวดลายเรือกอและเพื่อเพิ่มมูลค่าในเชิงสร้างสรรค์

.

รูปแบบกิจกรรมเน้นการอบรมเชิงทฤษฎีควบคู่กับกิจกรรมปฏิบัติการตลอดระยะเวลา 2 วัน โดยผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ผ่านการบรรยาย สาธิต และลงมือออกแบบผลงานจริงจากแนวคิดของตนเอง พร้อมนำเสนอผลงานต่อคณะวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อรับข้อเสนอแนะเชิงพัฒนา ทั้งนี้ ผลงานของเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะได้นำไปจัดแสดงและสาธิตภายในงาน “มหกรรมศิลปวัฒนธรรม ครั้งที่ 32” ระหว่างวันที่ 15–21 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ร่วมงานจากหลากหลายพื้นที่ ถือเป็นการต่อยอดกระบวนการเรียนรู้สู่เวทีสาธารณะอย่างสร้างสรรค์

.

นอกจากนี้ ยังมีพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยโครงการนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนพันธกิจของสถาบันในการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรม (SO4) และยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (SO5) ตามยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อีกทั้งยังส่งเสริมให้เยาวชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมท้องถิ่น และสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพหรือพัฒนาผลงานในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

.

#ลวดลายมลายู #เยาวชนสร้างสรรค์ #มหกรรมศิลปวัฒนธรรม #สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

พิธีถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และแห่ผ้าพระบฏ ณ วัดหลักเมือง จังหวัดปัตตานี ประจำปี 2568

✨พิธีถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และแห่ผ้าพระบฏ ณ วัดหลักเมือง จังหวัดปัตตานี ประจำปี 2568✨

.

วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปัตตานี และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี จัดพิธี ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และแห่ผ้าพระบฏ ณ วัดหลักเมือง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

.

โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรภาคย์ ไมตรีพันธ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพันธกิจสังคม วิทยาเขตปัตตานี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ข้าราชการจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี พุทธศาสนิกชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคลากรจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง

.

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นอย่างสง่างามและเปี่ยมด้วยศรัทธา ภายใต้โครงการ “แสงสว่างแห่งธรรม วันเข้าพรรษาประจำปี 2568” เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของท้องถิ่น โดยในขบวนแห่ได้มีการเคลื่อนขบวนจากวิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี ไปยังวัดหลักเมือง และประกอบพิธีห่ม พระมหาธาตุเจดีย์ ด้วยผ้าพระบฏอย่างสมบูรณ์

.

 

#ถวายเทียนพรรษา #แห่ผ้าพระบฏ #ผ้าอาบน้ำฝน #วัดหลักเมือง #แสงสว่างแห่งธรรม #สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

พิธีหล่อเทียนและสมโภชเทียนพรรษา ประจำปี 2568

✨ พิธีหล่อเทียนและสมโภชเทียนพรรษา ประจำปี 2568 ✨

.

วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปัตตานี และวิทยาลัยสงฆ์ปัตตานี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จัดพิธีหล่อเทียนและสมโภชเทียนพรรษา ประจำปี 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัตชัย เอื้ออนันตสันต์ รองอธิการบดีวิทยาเขตปัตตานี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา พุทธศาสนิกชน นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก ร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก

.

กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “แสงสว่างแห่งธรรม วันเข้าพรรษา ประจำปี 2568” เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น โดยจะมีพิธีถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝน และแห่ผ้าพระบฏ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ณ วัดหลักเมือง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี

.

#ถวายเทียนพรรษา #บุญแต้มสีบนผืนผ้าพระบฏ

 

#เข้าพรรษา #แห่ผ้าพระบฏ

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ต้อนรับ คุณครู นักเรียน โรงเรียนอิสลามประชาสงเคราะห์-อนุบาลศรีสวรรค์ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เข้ามาเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรมชายแดนใต้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้

7 กรกฎาคม 2568

 

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ต้อนรับ คุณครู นักเรียน โรงเรียนอิสลามประชาสงเคราะห์-อนุบาลศรีสวรรค์ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เข้ามาเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ศิลปะและวัฒนธรรมชายแดนใต้ ณ หอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ที่มาของพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นพระราชพิธีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขึ้น คือพระราชพิธีทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันประสูติขององค์พระมหากษัตริย์หรือพระบรมราชินี การเฉลิมพระชนมพรรษา การฉลองวันเกิดหรือฉลองอายุไม่ได้มีเริ่มต้นจากเมืองไทย แต่มีรากเหง้ามาจากที่อื่น การจะฉลองอายุได้นั้นต้องรู้วันเดือนปีเกิดเสียก่อน  ดังนั้นจึงไปเกี่ยวข้องกับปฏิทินเพราะถ้าไม่รู้ปฏิทินก็จะนับวันเดือน ปีไม่ได้ เรื่องนี้จึงต้องย้อนไปหลาย 1,000 ปีก่อนที่เริ่มมีปฏิทินเกิดขึ้นบนโลก เชื่อกันว่าชาวบาบิโลนเป็นคนกลุ่มแรกที่คิดค้นปฏิทิน ซึ่งเชื่อมโยงกับดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แม้ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าดวงจันทร์ แต่ปฏิทินจากดวงจันทร์หรือจันทรคตินั้นเกิดก่อน เนื่องจากสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้จากความเว้าแหว่ง จากนั้นจึงค่อยเกิดปฏิทินสุริยคติจากดวงอาทิตย์ เมื่อมีปฏิทินก็จะรู้วันเกิด และมีการฉลองวันเกิดตามมา 

 เดิมทีการฉลองวันเกิดไม่ใช่สำหรับมนุษย์แต่เป็นวันเกิดเทวดา ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศกรีก คนที่นับถือเทวดาองค์นั้นๆ เมื่อถึงเวลาก็ต้องฉลองวันเกิดให้เทวดาด้วย แต่นอกจากเทวดาแล้วยังมีคนในชีวิตจริงที่เคารพนับถือและต้องเอาใจ เช่น ผู้ปกครองในบ้านเมือง ธรรมเนียมการฉลองวันเกิดของมนุษย์จึงคลี่คลายมาจากการฉลองวันเกิดเทวดา และเชื่อว่าการฉลองวันเกิดมีขึ้นพร้อมๆ กันกับเค้กวันเกิดด้วย เนื่องจากแป้งและน้ำตาลเป็นของหายาก การนำไปผลิตเป็นเค้กต้องใช้วิทยาการหรือเทคโนโลยี และความสามารถทางปัญญาในระดับผู้ปกครอง ดังนั้นคนที่จะทำเค้กได้ต้องแสดงถึงอานุภาพอะไรบางอย่างและความสำคัญของเจ้าของวันเกิดว่าไม่ใช่คนธรรมดา ก่อนที่ภายหลังจะคลี่คลายมาเป็นการฉลองวันเกิดของคนทั่วไป

สำหรับประเทศที่มีการฉลองวันเกิดทางตะวันออกเริ่มจากประเทศจีน ซึ่งปฏิทินจีนไม่เหมือนกับปฏิทินยุโรป โดยจีนไม่ได้มีรอบนักษัตรแค่ 12 ชื่อ แต่มีถึง 60 ชื่อ หรือ 60 ปี จีนจึงต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่ออายุครบ 60 ปี หรือเรียกว่าแซยิด สำหรับเมืองไทยแต่เดิมไม่มีการบอกว่าตนเองเกิดวันไหน ซึ่งอาจเป็นเพราะ 2 เหตุผล กล่าวคือ ไม่รู้ว่าเกิดวันไหนและหวงดวงชะตา ต้องเป็นความลับไว้ เดี๋ยวมีใครมาทำคุณไสย ซึ่งมีความเชื่อกันในหมู่ชนชั้นสูง ส่วนชาวบ้านรู้เพียงแค่ว่าเกิดช่วงฤดูไหน ใช้อากาศ และฤดูกาลเป็นหลักการจำ เพราะการรู้วันเกิดที่แน่ชัดของชาวบ้านในอดีต
ไม่รู้ว่าจะจำไปทำไม เพราะไม่มีผลทางกฎหมาย ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ว่าบรรลุนิติภาวะหรือไม่ มีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อใด หรือไม่เมื่อไรจะแต่งงานได้

ฉลองคือฉลองพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา ซึ่งมีมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้สมโภชในวันสวดมนต์ถือน้ำเดือน 5 และวันสรงน้ำสงกรานต์เป็นการฉลองครั้นมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกการฉลองพระชนมพรรษามาทำในเดือน 11 เนื่องจากพระชนมายุบรรจบครบรอบในเดือนนี้ และทรงเป็นการใหญ่โตกว่าการเฉลิมพระชนมพรรษา คือฉลองพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา การพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาถือเอาวันพระบรมราชสมภพโดยทางสุริยคติ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือวันที่ 21 กันยายน เป็นฤกษ์ ส่วนการฉลองพระชนมพรรษานั้นถือเอาวันตรงวันพระบรมราชสมภพโดยทางจันทรคติพระราชพิธีทั้งสองนี้ บางทีก็ใกล้กันและบางทีก็ต่างกัน ในการพระราชพิธีฉลองพระชนมพรรษาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ไม่มีพระราชพิธีอะไรมากนัก สาเหตุเนื่องจากยังไม่มีผู้เข้าใจในพระราชพิธีและทราบพระราชประสงค์ที่แท้จริง ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การพระราชพิธีพระชนมพรรษา ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดเป็นงานใหญ่อย่างออกหน้าออกตา ไม่ได้ทรงกระทำเป็นการภายในอย่างครั้งในรัชกาลที่ 4 ทั้งนี้เพราะมีผู้เข้าใจในการพระราชพิธีพระชนมพรรษามากขึ้น อาทิ
จัดแต่งพุ่มไฟประกวดกันในพระบรมมหาราชวัง ตามวังเจ้านายและบ้านข้าราชการ ราษฎรทั่วไปก็จุดประทีปโคมไฟสว่างไสวตลอดสองฝั่งแม่น้ำลำคลองและท้องถนน นอกจากนี้ในการพระราชพิธีนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดรายการลงไปว่าวันไหนจะทรงประกอบพระราชพิธี และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอะไร ซึ่งเป็นวิธีการที่พระมหากษัตริย์ต่อๆ มาได้ทรงถือเป็นแบบอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ 

สำหรับการหยุดราชการเนื่องในวันพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาที่นับว่าประกาศเป็นวันนักขัตฤกษ์เป็นประจำปีเป็นทางการและเป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ได้ประกาศหยุดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พุทธศักราช 2456 ถือในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับประเพณี วันเกิดในไทยเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยผู้ที่ริเริ่ม คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ทรงในขณะที่ทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือประมาณ 200 ปีมาแล้ว เนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงพระปรีชาในด้านปฏิทินและทรงทราบวันพระบรมราชสมภพของพระองค์เอวในทั้งปฏิทินจันทรคติ และสุริยคติ เวลานั้นมีเหตุการณ์น่าสนใจอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เรื่อง การฉลองวันเกิด นั่นคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลประจำปี “หล่อพระพุทธรูป” แม้จะไม่ได้เคร่งครัดว่าต้องทำวันใด แต่จะทำปีละครั้ง ซึ่งตามธรรมเนียมราชสำนักแล้ว หลังจากหล่อพระเสร็จก็ต้องฉลองพระ โดยพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลฉลองพระพุทธรูปไม่ใช่การเฉลิมพระชนมพรรษา แต่เป็นการฉลองพระประจำพระชนมพรรษา ซึ่งรัชาลที่ 3 ไม่ได้ทรงดำริว่าต้องเป็นวันพระบรมราชสมภพ ทั้งนี้ รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริฉลองวันพระบรมราชสมภพขึ้นขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรฯ กล่าวคือ ทำเป็นการภายในที่พระตำหนักปั้นหยา มีเพียงการสวดมนต์ เลี้ยงพระ และบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องจากขณะนั้นทรงผนวชอยู่และไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยรัชกาลที่ 4 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันพระบรมราชสมภพเป็นการภายในมาตลอดที่ทรงผนวช และเมื่อขึ้นครองราชย์พระมหากษัตริย์ จึงยกธรรมเนียมนี้เป็นงานพิธีของหลวง ดังนั้นการฉลองอายุหรือฉลองวันเกิดในเมืองไทยจึงเกิดขึ้นจากพระราชดำริของรัชกาลที่ 4 และเริ่มจากราชสำนักก่อน ตามด้วยบรรดาเจ้านาย-ขุนนาง ก็ทำตามแนวทางนี้ ในภายหลัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือพระราชพิธี 12 เดือนว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงทำเรื่องการฉลองวันพระบรมราชสมภพเป็นพระราชดำริโดยพระองค์เอง ไม่ได้เลียนแบบใครและทรงพระดำริว่าชีวิตคนราที่ล่วงไปปีหนึ่งๆ ไม่ตายเสียก่อน เป็นเรื่องที่ควรยินดี และยินดีโดยการตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ควรบำเพ็ญกุศล ทำความดีความชอบทั้งหลาย นอกจากนี้ สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อคราวเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา มีการออกประกาศว่าเหล่าข้าราชการ ทูตานุทูตทั้งหลายจะประดับประทีปโคมไฟ โดยพระองค์ท่านไม่ขัดข้อง แต่บอกว่าอย่าไปกะเกณฑ์ ใครไม่มีปัญญาทำก็ไม่ว่า ถือเป็นร่องรอยที่บอกให้รู้ว่าเริ่มมีการประดับประทีบโคมไฟ

ในสมัยรัชกาลที่ ขุนนางแก้วคือสกุลบุนนาค ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรี สุริยวงศ์ หรือช่วง บุนนาค มีอายุ 50 ปี ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยนั้น หรือว่ากึ่งศตวรรษ สมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน เมื่ออายุ 50 ปี จึงมีดำริที่จะฉลองวันเกิด ในพระราชนิพนธ์หนังสือ พระราชพิธี 12 เดือน ของรัชกาลที่ 5 ระบุไว้ว่า คนที่ริเริ่มทำให้วันเกิดของหลวงเอิกเกริกเป็นการเฉลิมฉลองขึ้นมาคือพวก “จีนประจบ” ที่ต้องการประจบสมเด็จเจ้าพระยาฯ ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจในเวลานั้น โดยนำข้าวของจัดงานเลี้ยงกันใหญ่โต มีงานสมโภช งานวันเกิด ไม่ใช่แค่เพียงการทำบุญแล้ว ซึ่งพระราชนิพนธ์ระบุด้วยซ้ำว่างานของหลวงยังกร่อยกว่า ที่มาว่าวันเกิดบวกกับการเฉลิมฉลองเกิดจากคติของสมเด็จเจ้าพระยาฯ มีทั้งมหรสพ มีการกินเลี้ยง มีงานทำบุญ มีการปล่อยสัตว์ อย่างพระเจ้าแผ่นดินที่เห็นในทุกวันนี้

สมเด็จเจ้าพระยาฯ แทบจะเป็นการตั้งแบบแผนเลยก็ว่าได้ ว่างานวันเกิดฉลองกันอย่างไร แม้พระราชดำริตั้งต้นเป็นของรชกาลที่ 4 แต่ในรายละเอียดที่ขยายเพิ่มเติมที่เป็นการฉลองขนาดใหญ่นั้นสมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นผู้นำ สำหรับวันเฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาลที่ 5 คือวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 ก็ค่อยๆ เติมรายละเอียดต่างๆ เข้าไป จากที่รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งต้นไว้นั่นคือการบำเพ็ญพระราชกุศล
ซึ่งเป็นข้อขัดข้องมากในคราวเสด็จประพาสยุโรปทั้ง
2 ครั้ง ซึ่งใช้เวลาหลายเดือน กล่าวคือ มี 2 ครั้ง ใน พ.ศ. 2440 และ พ.ศ.2450 ที่รัชกาลที่ 5 อยู่ยุโรปในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งมีการอัญเชิญพระพุทธรูปไปในการเสด็จด้วย ทรงตั้งเป็นพระประธานในพิธีบูชาสักการะ และสวดมนต์โดยพระองค์เอง เป็นบำเพ็ญบุญกุศลอย่างหนึ่ง ใช้ใจเป็นสมาธิ รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ในข้อจำกัดที่ทรงอยู่ต่างประเทศ และทรงสรงน้ำพระ
สำหรับพระราชดำรัสในการเสด็จออกมหาสมาคม

มีพัฒนาการและมีเรื่องราวมาพอสมควร ในอดีตบางครั้ง สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงแถลงนโยบายประจำปี ตามแบบสหราชอาณาจักร ว่าปีที่ผ่านมารัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง และในปีนี้มีพระราชดำริจะทำอะไร ดังนั้นการที่จะมีกระแสรับสั่งนโยบายรัฐบาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ในสมัยรัชกาลที่ เองก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องร่างถวาย ก่อนจะเพิ่งมาเปลี่ยนแนวทางในภายหลังเมื่อปี 2501 กล่าวคือ พระราชดำรัสในวันออกมหาสมาคมจะไม่พูดเรื่องรัฐบาล แต่จะเป็นพระราชดำรัสในเชิงพระบรมราชาโชวาท สำหรับสถานที่ในการเสด็จออกมหาสมาคม มีหลักคือพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่ใดก็ใช้ที่นั่น โดยปกติแล้วก็จะออกมหาสมาคมที่ท้องพระโรง พระที่นั่ง มรินทรวินิจฉัย ภายหลังแม้ไม่ได้ประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ไปประทับที่อื่น เช่น รัชกาลที่ ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ก็เสด็จออกมหาสมาคม ณ ที่นั้น แต่ปีใดที่มีการเฉลิมฉลองพิเศษพระชนมายุครบรอบปีนักษัตร จะต้องหาสถานที่ที่เหมาะสม เช่น คราวเฉลิม พระชนมพรรษา 5 รอบ 6 พรรษา พ.ศ. 2530 มีการปลูกพระที่นั่งชัยมังคลาภิเษกขึ้นมาชั่วคราว เพื่อออกมหาสมาคมที่ท้องสนามหลวง เนื่องจากมีผู้คนไปร่วมงานจำนวนมากคติของไทยอีกเรื่องหนึ่งคือการรดน้ำผู้ใหญ่

ไม่ใช่การรดน้ำเพื่ออำนวยพรแต่เพื่อขอพรสังเกตได้จากการรดน้ำขอพรตามธรรมเนียมไทยผู้ใหญ่ต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป สำหรับพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาใน พ.ศ. 2530 นอกจากพิธีการปกติแล้ว ให้มีการถวายน้ำพระพุทธมนต์ที่ตักจากจังหวัดทั้งหลายและทรงรับด้วยพระครอบเป็นครั้งแรก การที่ทรงรับพระพุทธมนต์ด้วยพระครอบ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงราชประเพณีและธรรมเนียมราษฎรที่แสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่อายุ 60 ปี เปรียบเสมือนการให้ประชาชนทั้งประเทศรดน้ำพระองค์ท่าน นับเป็นวิวัฒนาการทางราชประเพณีในสมัยรัชกาลที่ 9 เมื่อ พ.ศ.2554 รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมพรรษา ครบ 84 ปี หรือครบ 7 รอบ ก็มีการเสกน้ำที่วัดพระเชตุพนฯ และเมื่อถึงวันพระราชพิธีออกมหาสมาคม ผู้ที่จะทูลเกล้าฯ ถวายน้ำพระพุทธมนต์ คือประมุข 3 ฝ่ายในอำนาจอธิปไตยทั้งหลาย ได้แก่ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา ซึ่งในปี 2568 วันที่ 28 กรกฎาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และเป็นวันหยุดประจำเดือนนี้ พร้อมย้อนรอยศึกษาพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจที่สำคัญต่อชาวไทย และในปี 2568 ก็ยังจะมีการประดับธงชาติและธงพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.(ธงในหลวง) ในทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ โรงเรียน บริษัท และบ้านเรือน เพื่อถวายพระพรให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานและยังมีการทำความสะอาดแม่น้ำลำคลอง ถนน โรงพยาบาล และประดับรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ไว้ที่หน้าบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลด้วย

กิจกรรมสำหรับประชาชนชาวไทยทุกคนในวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือวันพ่อแห่งชาติ คือประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หรือบำเพ็ญกุศล ทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และระลึกถึงพระคุณของพ่อ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประกาศเกียรติคุณพ่อตัวอย่างหรือพ่อดีเด่น โดยกำหนดคุณสมบัติ คือ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่งเสริมการศึกษาของบุตร ธิดา นับถือศาสนาโดยเคร่งครัดงดเว้นอบายมุขทุกชนิด อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชน

 ——————————————————————————————-

เอกสารอ้างอิง

พิริยะ ไกรฤกษ์. (2551). ลักษณะไทย พระพุทธปฏิมา อัตลักษณ์พุทธศิลป์ไทย. กรุงเทพมหานคร: อัมรินทร์.

สงวน อั้นคง.2529. สิ่งแรกในเมืองไทย. เล่ม 4. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: วังบูรพา,139-144.

ธงทอง. (2568) เปิดที่มาธรรมเนียมการฉลองอายุ-วันเฉลิมพระชนมพรรษาในประเทศไทย สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 

2568 จาก https://royalcelebration.matichon.co.th/news/2702/

จันทรางศุและชัชพล ไชยพร. (2568) ในเสวนาฉลองราชย์ เฉลิมพระชนมวาร. สืบค้นเมื่อ 23 กรกฎาคม 2568

           จาก https://today.line.me/th/v3/article/DRGkW1g

——————————————————————————————-

เรียบเรียงโดย
อ้อมใจ วงษ์มณฑา

นักวิชาการอุดมศึกษาชำนาญการ
สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลป์ยาณิวัฒนา ม.อ.ปัตตานี

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา รับการประเมินคุณภาพภายในตามเกณฑ์ TQA ประจำปี 2567

วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เข้ารับการประเมินคุณภาพภายในระดับหน่วยงานเทียบเท่าคณะ ตามเกณฑ์ TQA (Thailand Quality Award) ประจำปีการศึกษา 2567 ณ ห้องประชุมสถาบันฯ อาคารหอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

.

การประเมินครั้งนี้เน้นการทบทวนกระบวนการบริหารจัดการของสถาบัน ทั้งในด้านการวิจัย การบริการวิชาการ การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และการพัฒนานักศึกษา เพื่อยกระดับศักยภาพในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีประสิทธิภาพ

.

ในโอกาสนี้ ผู้อำนวยการสถาบันฯ ได้นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานและทิศทางการพัฒนาขององค์กรต่อคณะกรรมการผู้ประเมิน พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นสำคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

.

คณะกรรมการตรวจประเมินคุณภาพภายใน ประกอบด้วย

1.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัตชัย เอื้ออนันตสันต์ ประธานกรรมการ

2.อาจารย์จิรยุทธ์ จันทนพันธ์  กรรมการ

3.นางสาวทัศนีย์ ฤกษ์สโมสร  เลขานุการ

.

 

ทั้งนี้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ขอขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านที่ให้เกียรติร่วมดำเนินการประเมินในครั้งนี้ ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และจะถูกนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาสถาบันอย่างต่อเนื่อง การประเมินครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เห็นทั้งจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้สถาบันฯเติบโตและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา จัดพิธีเปิดการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 69 (สัญจร) และ การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ ครั้งที่ 40 (สัญจร)

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ หอศิลป์ภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นายฐปนัท วงศ์ศานติบูรณ์ วัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 69 (สัญจร) และ การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ ครั้งที่ 40 (สัญจร) โดยมีกล่าวต้อนรับโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนทิรา ลีลาเกรียงศักดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ วิทยาเขตปัตตานี และ ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าวรายงาน ตลอดจน คณะผู้บริหารส่วนงาน คณะครูอาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมฯ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดนิทรรศการ ยังได้มีการ มอบเกียรติบัตรแก่ผู้ได้รับรางวัลและผู้ได้รับคัดเลือกจาก โครงการประกวดวาดภาพศิลปะเด็กและเยาวชน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปี 2568 โดยมี ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา เป็นผู้มอบ เพื่อเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะของเยาวชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยนิทรรศการเยาวชนภายใต้หัวข้อ “โลกอนาคตกับวัฒนธรรมที่ยั่งยืน” จัดแสดงผลงานมากกว่า 30 ชิ้น จากน้อง ๆ ผู้ได้รับรางวัลและผ่านการคัดเลือก ระหว่างวันที่ 3 – 25 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น 2 หอศิลป์ภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ซึ่งจัดพร้อมๆกับการแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 69 (สัญจร)และ การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ ครั้งที่ 40 (สัญจร)

ในช่วงพิธีเปิด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนทิรา ลีลาเกรียงศักดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติ โดยแสดงความยินดีที่ได้ร่วมเปิดพื้นที่ให้เยาวชนและประชาชนในสามจังหวัดชายแดนใต้ได้เข้าถึงศิลปกรรมระดับชาติ พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้

.

นายฐปนัท วงศ์ศานติบูรณ์ วัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี ประธานในพิธี กล่าวว่า “ศิลปะเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความคิดและภูมิปัญญาของสังคม การจัดแสดงผลงานคุณภาพระดับชาติในภูมิภาค เช่นในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้เข้าถึงผลงานศิลปะร่วมสมัยอย่างกว้างขวาง”

.

ด้าน ดร.ชนกิตติ์ ธนะสุข ได้กล่าวว่า นิทรรศการครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา และสำนักศิลปวัฒนธรรมและการสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อส่งเสริมศิลปินทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์ โดยมีผลงานจัดแสดงรวม 74 ชิ้น ผลงานจาก “การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 69” จำนวน 40 ชิ้น ได้แก่ ผลงานที่ได้รับรางวัลเหรียญเงิน 1 ชิ้น เหรียญทองแดง 6 ชิ้น และผลงานร่วมแสดง 33 ชิ้น ผลงานจาก “การแสดงศิลปกรรมร่วมสมัยของศิลปินรุ่นเยาว์ ครั้งที่ 40” จำนวน 34 ชิ้น ได้แก่ รางวัลเหรียญทอง 1 ชิ้น เหรียญเงิน 4 ชิ้น เหรียญทองแดง 1 ชิ้น และผลงานร่วมแสดง 28 ชิ้น ครอบคลุมจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ และสื่อประสม

.

ทั้งนี้นิทรรศการทั้งสองชุดเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 3 – 25 กรกฎาคม 2568 ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (หยุดวันเสาร์–อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ณ หอศิลป์ภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

.

#การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติ69 #ศิลปกรรมรุ่นเยาว์40

#มอปัตตานี #ศิลปะร่วมสมัย #SouthernThaiArtGallery

#สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

#มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ #หอศิลป์ภาคใต้

#PSUPattani #PrincessGalyaniVadhanaInstituteOfCulturalStudies

บุคลากรสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ลงพื้นที่เยี่ยมกลุ่มช่างเพื่อประสานงานเข้าร่วมกิจกรรมสาธิตหัตถกรรมพื้นบ้าน ในงานมหกรรมศิลปวัฒนธรรม ครั้ง 32

27 มิถุนายน 2568

 

บุคลากรสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ลงพื้นที่เยี่ยมกลุ่มช่างเรือพระ วัดมะเดื่อทอง อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี, กลุ่มกัทลีผลิตภัณฑ์จากกาบกล้วย และกลุ่มหัตถกรรมบ้านทุ่ง จากอำเภอปะนาเระสาธิตดอกไม้ประดิษฐ์จากใบตาลและภูมิปัญญาการทำน้ำตาลแว่น  เพื่อประสานงานเข้าร่วมกิจกรรมสาธิตหัตถกรรมพื้นบ้าน ในงานมหกรรมศิลปวัฒนธรรม ครั้ง 32

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา ต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมด้วยคณะ และเจ้าหน้าที่จาก สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา และ สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา

25 มิถุนายน 2568

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.เชษฐ์ ติงสัญชลี อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมด้วยคณะ และเจ้าหน้าที่จาก สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา และ สำนักศิลปากรที่ 13 สงขลา เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการภายในหอวัฒนธรรมภาคใต้ และศึกษาข้อมูลโบราณวัตถุเมืองโบราณยะรังในพื้นที่จัดแสดงถาวรของหอวัฒนธรรมภาคใต้ สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

เรื่อง ประกาศผลการประกวดวาดภาพโครงการประกวดวาดภาพศิลปะเด็กและเยาวชน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนาขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลและผู้ที่ผลงานได้รับคัดเลือกเข้าร่วมแสดงทุกท่านรวมถึงขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดทุกคนในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

✨

.

📍 ผลงานที่ได้รับรางวัลและได้รับคัดเลือกเข้าร่วมแสดงจะนำมาจัดแสดงในนิทรรศการ โลกอนาคตกับวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

🗓ระหว่างวันที่ 3– 25 กรกฎาคม 2568

📍ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น หอศิลป์ภาคใต้ อาคารหอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

.

🎉 พิธีมอบรางวัล 🗓 วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 🕘 เวลา 08.30 น.📍ณ อาคารหอศิลปวัฒนธรรมภาคใต้

📌 ผู้ได้รับรางวัลและผู้ร่วมแสดงงานสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมพิธีมอบรางวัลได้ทางลิงก์หรือ QR Code นี้ >>
h
ttps://forms.gle/QLr42f4padBCmP4y8

.

#หมายเหตุ

1.ผู้ได้รับรางวัล ทุกระดับชั้น กรุณานำ สำเนาบัตรประชาชน หรือ สำเนาใบสูติบัตร
มาเป็นหลักฐานในการรับเงินรางวัล

2.ผู้ที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด สามารถ ดาวน์โหลดเกียรติบัตร ได้ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป
(จะแจ้งลิงค์ดาวน์โหลดภายหลัง)

.

#ประกวดวาดภาพ #ศิลปะเด็กเยาวชน #โลกอนาคตกับวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

.

ติดตามข่าวสารกิจกรรมของสถาบันฯ ได้ที่

ศิลปะเด็กและเยาวชน 5 จังหวัดชายแดนใต้

Website: https://culture.psu.ac.th/

Facebook: https://www.facebook.com/culture.psu

Instagram: https://www.instagram.com/culture.psu/

Youtube: https://www.youtube.com/@culture_psu     

Tiktok:https://www.tiktok.com/@culture.psu

 

Loading...