8 ธันวาคม 2484 สงครามมหาเอเชียบูรพา – ปัตตานี

ยุวชนทหารปัตตานี

“ยุวชนทหาร”คือเหล่าเยาวชนไทยที่เข้ารับการฝึกระเบียบวินัย ความกล้าหาญ เพื่อเตรียมความพร้อมปกป้องประเทศชาติ เนื่องจากรัฐบาลไทยในขณะนั้น โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีนโยบายพื้นฟูการฝึกวิชาทหารให้แก่ประชาชน ซึ่งดำเนินการโดยกรมยุวชนทหาร กระทรวงกลาโหม  สำหรับเกณฑ์เข้ารับการฝึกเป็นยุวชนทหาร ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี และไม่เกิน 17 ปี เป็นลูกเสือเอก เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย เพื่อเป็นกำลังสำรองของชาติ มีเป้าหมายฝึกวิชาทหารให้แก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เป็นการเตรียมเยาวชนให้มี ยุวชนทหารสังกัดอยู่ใน แผนกที่ 6 กรมจเรทหารบก กระทรวงกลาโหม ต่อมาปี พ.ศ. 2480 ได้ยกฐานะขึ้นเป็น กรมยุวชนทหาร หน่วยฝึกยุวชนทหารภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร หลังสวน ระนอง นครศรีธรรมราช ภูเก็ต พัทลุง ตรัง ปัตตานี และสงขลา

          สงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นชื่อที่กองทหารญี่ปุ่นใช้เรียกเขตสงครามที่สู้รบในมหาสมุทรแปซิฟิกและเอเชียตะวันออก อันเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองสงครามโลกครั้งที่ 2 (โดยสงครามดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 จากการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ของกองทัพญี่ปุ่น และสิ้นสุดลงในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 หลังจากกองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งนำไปสู่การลงนามในเอกสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการในวันดังกล่าว)            วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484  เวลา 03.00 น. กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ตำบลบางตาวา อำเภอหนองจิก ตำบลรูสะมิแล ตำบลสะบารังและตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี  ทหารญี่ปุ่นใช้เรือท้องแบนยกพลขึ้นบกที่ฝั่งทะเล หมู่ที่ 1 ตำบลรูสะมิแล เป็นจุดใกล้เคียงกับที่ตั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปัจจุบัน และวางกำลังพลเคลื่อนเป็นแนวปีกรูปคีมจรดแม่น้ำปัตตานี ติดกับที่ตั้งที่ทำการด่านศุลกากรจังหวัดปัตตานี นายด่านศุลกากรปัตตานีถูกทหารญี่ปุ่นจับเป็นคนแรก ในเวลาประมาณ 04.00 น. อีกแนวหนึ่งกองกำลังยกพลขึ้นบกที่ตำบลบานา หมู่ที่ 8 บริเวณที่ตั้งเรือนจำจังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน การยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นในครั้งนี้ ถูกพบโดยชาวประมงเรือกอและที่ออกหาปลาทูในอ่าวของนายยุนุ(ไม่ทราบนามสกุล) ราษฎรชาวรูสะมิแลพบเรือรบขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นหลายสิบลำจอดทอดสมออยู่ในทะเล ห่างจากฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร และพบว่าทหารญี่ปุ่นกำลังลำเลียงพลลงเรือท้องแบนเป็นจำนวนมาก จึงแล่นเรือกลับเข้าฝั่งทันที ที่ตำบลรูสะมิแล หมู่ที่ 1 ชาวเรือกอและได้นำความแจ้งต่อนายอรุณ  เจริญอักษร ปลัดอำเภอเมืองปัตตานีและนางเหนี่ยว  เจริญอักษร ภรรยาซึ่งมีบ้านพักอยู่หน้าโรงเรียนเทศบาล 5 ปัจจุบัน  ปลัดอรุณ  เจริญอักษร นำเรื่องรายงานต่อนายสำราญ  พจนสุภาณ นายอำเภอเมืองปัตตานี และนายอำเภอเมืองปัตตานี รายงานต่อนาวาเอกหลวงสุนาวินวิวัฒน์(กิมเหลียง  สุนาวิน) ร.น. ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ผู้ว่าฯ จึงเดินทางไป สภ.อ.เมืองปัตตานีและสั่งการให้ตำรวจเตรียมออกปกป้องแผ่นดิน

ภาพประกอบ : ยุวชนทหารปัตตานี (ซ้ายไปขวา)
ยุวชนทหารนิพนธ์  นราพัฒน์ ถ่าย พ.ศ.2485
ยุวชนทหารประสงค์  วงค์กำแหง ……ไม่ระบุ
ยุวชนทหารห้อม อุทัยรัตน์  ถ่าย พ.ศ.2486

ยุวชนทหารหน่วยที่ 66 ปัตตานี

          ยุวชนทหารหน่วยที่ 66 ปัตตานี ประกอบด้วย ยุวชนทหารปีที่ 1 และปีที่ 2 ได้รับแผนซักซ้อมจากผู้บังคับหน่วยยุวชนทหารที่ 66 คือ นายร้อยเอกทองใบ ผดุงโยธี เคยมีการประชุมชี้แจงเหตุเตรียมพร้อมอยู่หลายเดือนว่า ทหารญี่ปุ่นจะต้องยกพลขึ้นบกในประเทศไทยและจังหวัดปัตตานีก็ต้องอยู่ในข่ายยกพลขึ้นบกด้วย ผู้บังคับหน่วยสั่งว่าเราต้องจับอาวะต่อสู้ไม่ยอมให้ทหารญี่ปุ่นยึดปัตตานีได้สำเร็จ ให้ยุวชนทหารทุกคนต่อสู้เพื่อคอยทหารจากกองพันที่ 42 ค่ายบ่อทอง อำเภอหนองจิก ซึ่งห่างจากตัวเมืองปัตตานี 15 กิโลเมตร มาสมทบ เพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่นเพราะอาวุธของหน่วยยุวชนทหารนั้น มีปืนเล็กยาวแบบ 83 จำนวน 40 กระบอก ปืนกลเบาแบบ 66 หนึ่งกระบอก กระสุนปืนมีจำนวนจำกัดใช้เวลาต่อสู้ไม่นานกระสุนก็จะหมด และเนื่องจากผู้บังคับหน่วยยุวชนทหาร ร้อยเอกทองใบ ได้จัดตั้งหน่วยสื่อสาร โดยใช้วิธีติดต่อกับยุวชนทหารที่มีบ้านพักอยู่ในเขตอำเภอเมืองปัตตานี ด้วยวิธีนำข่าวไปบอกด้วยตนเองแล้วให้ถ่ายทอดกันไปโดยวางแผนว่า ให้ยุวชนทหารคนหนึ่ง ซึ่งตั้งเป็นหัวหน้าหมู่นำความไปบอกลูกหมู่ และลูกหมู่จะต้องบอกต่อๆกันไปจนครบทุกคนและหมู่อื่นก็จะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันเป็นลูกโซ่ ดังนั้นเมื่อทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ยุวชนทหารทั้งหลาย จึงได้รับทราบเหตุการณ์ได้ทันท่วงที เมื่อทราบเหตุจึงต่างวิ่งไปยังจุดเดียวกัน คือสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งกับศาลากลางจังหวัดปัตตานี อันเป็นสถานที่เก็บอาวุธของหน่วยยุวชนทหารหน่วยที่ 66 ยุวชนทหารเมื่อได้รับอาวุธปืน และกระสุนจากทหารครูฝึก ซึ่งคอยออกคำสั่งให้ยุวชนทหารปฏิบัติการรบอยู่บนสถานีตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี จึงปฏิบัติตามคำสั่ง โดยวิ่งออกจากสถานีตำรวจข้ามสะพานเดชานุชิต ไปตั้งแนวต่อสู้อยู่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปัตตานีจุดหนึ่ง และที่อื่นอีกหลายจุด ทุกจุดมีทหารครูฝึก เป็นผู้สั่งรบ ยุวชนทหารอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีบ้านพักอยู่ทางด้านตลาดและหัวตลาด ได้ยกกำลังไปอยู่แนวถนนนาเกลือ สมทบกับชาวบ้านที่มีอาวุธประจำตัวอีกหลายคน เมื่อกำลังทหารญี่ปุ่นซึ่งมีกำลังมากมายเคลื่อนกำลังจากตำบลรูสะมิแล ก็ทำการยึดถนนหนองจิก ซึ่งฝั่งซ้ายเป็นที่ตั้งจวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ฝั่งขวาเป็นที่ตั้งบ้านพักนายอำเภอเมืองปัตตานี และที่ว่าการอำเภอเมืองปัตตานี ซึ่งมีอาณาบริเวณติดกับศาลากลางจังหวัดและจากถนนหนองจิกเมื่อถึงสี่แยกสะพานสามัคคี ตรงไปทางด้านหน้าโรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี จะเป็นถนนสะบารังด้านตรงข้ามกับโรงเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ เป็น “ตึกขาวเป็นที่ตั้งหน่วยยุวชนทหารที่ 66”

          ทหารญี่ปุ่นตึงกำลังจาก 4 แยก (ปัจจุบันเป็นหอนาฬิกา) มาตามแนวถนนหนองจิกบวกกับถนนสะบารัง และยึดสะพานสามัคคีไว้ ทันใดนั้นรถบรรทุกกำลังตำรวจ สภ.อ.เมืองปัตตานีโดยมีนายร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์ สรสุชาติ เป็นผู้ควบคุมกำลังตำรวจ โดยเมื่อออกรถจากสถานีตำรวจแล้วผ่านสะพานเดชานุชิต ผ่านที่ทำการเทศบาลเมืองปัตตานี ผ่านศาลและศาลากลางจังหวัดปัตตานี พอถึง 4 แยกสะพานสามัคคี ทหารญี่ปุ่นได้ใช้ปืนกลยิงใส่รถตำรวจ ผลปรากฏว่า เมื่อตำรวจต่อสู่อยู่บนรถร้อยตำรวจตรีประดิษฐ์ สรสุชาติ ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ารถใกล้พลขับถูกกระสุนปืนญี่ปุ่นเต็มร่างเสียชีวิตทันที พลขับตำรวจจึงเลี้ยวรถกลับ ผ่านไปทางหน้าศาลากลางจังหวัด เพราะหากตั้งรับเวลานั้นฟ้ายังมืด ไม่รู้ว่าข้าศึกวางกำลังอยู่ที่ใดบ้าง ตำรวจบนรถจึงไปตั้งแนวรบที่เชิงสะพานเดชานุชิต หน้าไปรษณีย์คนละฝั่งแม่น้ำที่ยุวชนทหารตั้งกำลังอยู่ ต่อมาอีกจุดหนึ่ง ยุวชนทหารได้วางกำลังรบจากบันไดศาลากลางจังหวัดไปจรดถนนเดชา เป็นแนวรบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง เมื่อกองทหารญี่ปุ่น นำโดยร้อยเอกชีบา(ไม่ทราบนามสกุล) ที่แฝงตัวมาอยู่ในตลาดปัตตานีนานหลายปี ได้นำกำลังทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งเดินเท้า มีทหารถือธงอาทิตย์อุทัยเดินเท้ามาตามถนนเดชา พอถึงจุดสามแยกตรงข้ามศาลากลางจังหวัดก็พบกับกำลังยุวชนทหารตั้งรับอยู่ ยุวชนทหารเอื้อน นุ่มนวล ได้ใช้ปืนเล็กยาว 83 อาวุธประจำกายยิงใส่ทหารญี่ปุ่น ร้อยเอกชีบาตะโกนบอกว่า “นี่ทหารญี่ปุ่น คนไทย อย่างยิง เราจะขอผ่านเท่านั้น”

ยุวชนทหารหลายคนต่างได้ยินคำพูดชัดเจนทุกถ้อยคำ จึงได้ลั่นกระสุด 83 ยิงใส่ทหารญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นจึงยิงตอบโต้ สถานการณ์ตอนนั้นยังมืดอยู่การยิงจึงไม่ทราบผลชัดเจนเมื่อเสียงปืนสงบลง ทหารญี่ปุ่นที่ใช้ปืนกลเบาและปืนเล็กยาวยิงใส่ ยุวชนทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย

          ยุวชนทหารปัตตานีเสียชีวิต ได้แก่ 1. ยุวชนทหารเอื้อน  นุ่มนวล 2. ยุวชนทหารละม้าย  เหมมณี 3. ยุวชนทหารบุญช่วย เพชรแลบ 4. ยุวชนทหารสนิท  หงส์มณี 5. ยุวชนทหารถวัลย์  อนันต์สิทธิ์ ทั้ง 5นายเป็นยุวชนทหารชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี

          ยุวชนทหารปัตตานีที่ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ 1. ยุวชนทหารถาวร  มงคลศิลป์ ได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่เข่าด้านขวา 2. ยุวชนทหารคนิต ศรีเจริญ ถูกยิงที่ขาขวาได้รับบาดเจ็บ 3. ยุวชนทหารเทพ  อโศกวัฒนะ ถูกดาบซามูไรฟันได้รับบาดเจ็บที่ขา

          ขณะที่มีการปะทะ ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตหลายนาย จากบันทึกกล่าวถึงการจมโคลนเสียชีวิตด้วย กล่าวคือในพื้นที่ หมู่ที่ 8 ตำบลบานา (ปัจจุบันคือที่ตั้งเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี) เนื่องจากหาดโคลนมีความลึกมาก เมื่อทหารญี่ปุ่นแต่งกายอาวุธทำให้มีน้ำหนักมากเมื่อลงเรือย่ำโคลนจึงจมโคลนเสียชีวิตหลายนาย สุดท้ายจึงต้องใช้เรือท้องแบนพอเรือติดโคลนแล้วต้องเอาผ้าใบปูแล้วคลานขึ้นฝั่ง

          การต่อสู้ปะทะกันยาวนานถึงเวลา 10 นาฬิกา วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ก็ได้มีคำสั่งหยุดยิงโดยมีรถยนต์ติดธงชาติไทยและธงชาติญี่ปุ่นพร้อมคนโบกธงขาวบนหลังคารถยนต์วิ่งไปตามถนนหนองจิก ถนนเดชา และในเขตเมืองปัตตานีประกาศด้วยภาษาไทยว่า “รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรี ได้ตกลงกับกองทัพญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ขอให้หยุดยิง”

          เมื่อทหารญี่ปุ่นยกทัพเข้ามาเลเซียได้แล้วก็นำแผ่นศิลาแลงสีเขียว ตั้งเป็นอนุสาวรีย์ไว้ที่สนามศักดิ์เสนีย์บันทึกเป็นภาษาญี่ปุ่น บอกจำนวนทหารของเขาที่เสียชีวิตที่นี่และบันทึกด้วยว่า “มีทหารน้อย หมายถึงยุวชนทหารของไทย ได้ทำการต่อสู้อย่างกล้าหาญขอชมเชยด้วยใจจริง” เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามจึงได้มาทำลายป้าย สำหรับศพทหารญี่ปุ่นตามบันทึกของยุวชนทหารเจริญ  รัตนอุดม “ทำการเผาหน้าบ้านพักนายอำเภอเมืองปัตตานีตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสาง” คาดว่ามีทหารเสียชีวิตหลายนาย

         หลังสงครามยุติ หน่วยยุวชนทหารถูกยุบเลิกในปี พ.ศ. 2490 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงได้ 2 ปี การฝึก “ยุวชนทหาร” ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติยุวชนแห่งชาติ พุทธศักราช 2490

     สายลับกับวีรชนชุดเขียว

          ก่อนปีพ.ศ. 2484 ในตลาดจังหวัดปัตตานีมีชาวญี่ปุ่นมาเปิดร้านทำฟัน ชื่อหมอชีบา อยู่หน้าวัดตานีนรสโมสร ต่อมามีการเปิดร้านขายถ้วยชามเจ้าของชื่อเชน โซไกย และร้านถ่ายรูปไม่ทราบชื่อ เจ้าของร้านทั้ง 3 แห่ง มีกิจกรรมที่น่าสงสัยคือ เจ้าของร้านถ่ายรูปจะไปถ่ายรูปตามแนวชายฝั่งทะเล เช่น บางตะวา รูสะมิแล นาเกลือ ปะนาเระ และบริเวณปากแม่น้ำปัตตานี ซึ่งเป็นที่ตั้งด่านศุลกากรปัตตานี เจ้าของร้านทำฟัน มักไปนั่งตกปลาที่ปากอ่าว (เพื่อวัดระดับน้ำ) เวลาน้ำขึ้น น้ำลง เจ้าของร้านขายถ้วยชาม มักไปเดินสำรวจความแน่นของพื้นทรายและเลนริมฝั่งทะเล โดยเฉพาะเดือนตุลาคม พ.ศ. 2483 ชายทั้งสามคนมักไปปิกนิกทางทะเลทุกวัน ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกตินี้ได้มีการจับตาและรายงานไปยังพันตรีขุนอิงคยุทธบริหาร จึงมีข้อสันนิษฐานเรื่องการยกพลขึ้นบกที่ปัตตานี จุดสำคัญคือ หลังด่านศุลกากรปัตตานี และด่านกักสัตว์ หมู่ที่ 1 ตำบลรูสะมิแล วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 พันตรีขุนอิงคยุทธบริหาร จึงนัดนายทหารพร้อมครอบครัว นำอาหารไปปิกนิก ณ บริเวณที่กล่าวมาแล้วเป็นการไปตรวจภูมิประเทศจริงๆ ในที่สุด กองทหารญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบก ณ จุดที่ พันตรีขุนอิงคยุทธบริหาร คาดการณ์ไว้ สำหรับเจ้าของกิจการชาวญี่ปุ่นทั้ง 3 คน เปิดเผยภายหลัง เป็นนายทหารของกองทัพญี่ปุ่น ตรามแผนปฏิบัติการเดินทัพจากภาคใต้ของประเทศไทยไปยังสมาพันธรัฐมาลายา           เวลา 03.00 น. วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484  พันตรีขุนอิงคยุทธบริหาร ได้รับข่าวจาก นาวาเอก หลวงสุนาวินวิวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ความว่า ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกแล้ว คืนนั้นมีการลำเลียงพล พร้อมปืนกลหนัก ปืนใหญ่บรรทุกรถยนต์ ขณะนั้นทหารญี่ปุ่นเข้ายึดถนนหลายสายในเมืองปัตตานี ยึดศาลากลาง ยึดโรงเรียนเบญจมราชูทิศ

คณะผู้แทนรัฐบาลเดินทางมาตรวจเยี่ยมประชาชนที่จังหวัดปัตตานี ระหว่างวันที่ 16-26 ธันวาคม พ.ศ. 2484
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)


ข้อมูล : นายเจริญ  รัตนอุดม อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาคใต้ปัตตานี
เรียบเรียงโดย : นราวดี  โลหะจินดา

Scroll to Top