คำว่า “ยามู” เป็นภาษายาวีแปลความว่า “ชุมพู่”ภาษาเรียกของท้องถิ่น คือ “ชุมพู่ป่า” ถ้าเป็นภาษาทางราชการเรียกว่า “ต้นชะเมา” ประเภทไม้เนื้อแข็ง ลำต้นใหญ่ใช้ทำเชิงชาย วงกบประตู หน้าต่าง และแกะลายทำเป็นช่องลมบ้านเรือน ส่วนใบใช้ทำขนมตาแป ด้วยเหตุผลนี้ ต้นชมพู่ป่าจึงเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนในอดีต โดยมีประวัติความเป็นมาว่า มีต้นชมพู่ใหญ่ 3 ต้นสูงเด่นตระหง่าน อยู่ใกล้ริมคลองยามูทำให้ภูมิทัศน์บริเวณนั้นสวยงามมาก กลายเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านได้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็น “ตลาดนัดของชุมชน” จนกระทั่งมีการเรียกชื่อกันว่า “นะยามู” หรือ ตลาดนัดยามู จะมีชาวบ้านชุมชนฝั่งทะเลแหลมโพธิ์ ชุมชนหนองแรด ชุมชนตาแกะ ชุมชนดาโต๊ะ ชุมชนตาโล๊ะกาโปร์ เป็นต้นได้เดินทางมาค้าขายและจับจ่ายซื้อสินค้าตลอดนัดแห่งนี้
ต้นยามู ภาษายาวีเรียกว่า ชมพู่ป่า ภาษาถิ่นกลางเรียกว่า ต้นชะเมา
ตลาดนัดยามูในอดีตมีชื่อเสียงมาก ด้วยเส้นทางการคมนาคมเดินทางสะดวก เพราะอยู่ใกล้กับชายฝั่งคลองยามู ซึ่งสามารถสัญจรได้ทั้งทางบก ทางน้ำ (ในอดีตชาวบ้านนิยมใช้เส้นทางเรือในการสัญจรระหว่างชุมชนเพื่อติดต่อค้าขาย) แต่ละคนจะนำสินค้าในชุมชนของตนเองมาแลกเปลี่ยนค้าขายกับชุมชนอื่นๆ ทำให้ตลาดนัดยามูมีสินค้าหลากหลายให้เลือกจับจ่ายซื้อขายแต่ละวัน
ปัจจุบัน ตลาดนัดแห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนสภาพเป็นการสร้างอาคาร จัดวางระบบการขายให้สอดคล้องกับกฎหมายบ้านเมือง จึงเป็นตลาดประจำตำบลยามู มีการซื้อขายสินค้าทั่วไปคล้ายกับตลาดนัดอื่นๆ บริเวณโดยรอบตลาดนัด เดิมที่มีสัญลักษณ์ต้นยามูป่า 3 ต้น ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์ของตลาดนัดมาตั้งแต่อดีต แต่ต้นยามูป่าได้ตายไป ไม่มีการปลูกทดแทน จึงไม่มีร่องรอยสัญลักษณ์ของต้นยามูป่าบริเวณนี้ ปัจจุบันบริเวณที่มีต้นยามูป่าได้กลายเป็นสวนสาธารณะอยู่ใกล้กับสะพาน ซึ่งอีกฝั่งถนนจะเป็นชุมชนชาวจีนและศาลเจ้า เป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่ใกล้กับตลาดนัดและใกล้กับบริเวณชายฝั่งคลองยามู น่าจะสันนิษฐานได้ว่า ชาวจีนล่องเรือมาขึ้นฝั่งบริเวณนี้ และเห็นว่า ชุมชนแห่งนี้มีการค้าขาย จึงได้ตั้งรกรากอาศัยเพื่อได้ประกอบอาชีพค้าขายตามความถนัดของชาวจีนที่มีวัฒนธรรมการค้าขายเจริญกว่าชาวพื้นเมืองดั้งเดิม
บริเวณตลาดนัดยามูในอดีตปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะของตำบล
สถานการณ์การแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน (งาโง๊ะลาแลจืองิ) ที่สูญหาย
สภาพทางลักษณะของพื้นที่ตำบลยามู เป็นที่ราบและพื้นที่ราบลุ่ม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม คือ ทำนา เลี้ยงสัตว์ เพราะปลูก รับจ้างทั่วไปและอาชีพที่ได้รับความนิยมในชุมชนปัจจุบัน คือ การเลี้ยงปลาในบ่อดินและการเลี้ยงปลาแบบกะชัง เช่น ปลากะพง ปลาทับทิม ซึ่งชาวบ้านป่าหลวงผู้ที่พอมีเงินทุน หรือมีโอกาสในการกู้เงินมาลงทุนในการเลี้ยงปลาในบ่อดินได้ จะหันมาขุดบ่อเลี้ยงปลาในบ่อดินกันมากขึ้น ทำให้อาชีพนี้ได้แพร่กระจายรายได้มาสู่ชุมชน และเป็นการสร้างโอกาสอาชีพทางเลือกให้กับเยาวชนอีกด้วยการคมนาคมมีทั้งทางน้ำและทางบก แม้ปัจจุบันจะใช้เส้นทางบกเป็นหลักติดต่อกับอำเภอใกล้เคียง ใช้ถนนเชื่อมติดต่อกับทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 42ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนา ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง จึงมีความผูกพันกับต้นทุนทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตจึงได้ภาพสะท้อนการเล่นพื้นที่บ้านที่สูญหายและกำลังจะสูญหายไปจากพื้นที่ตำบลยามูมีดังนี้
การแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน (งาโง๊ะลาแลจืองิ)
การเลี้ยงตั๊กแตนสำหรับการแข่งขันเพื่อความสนุกสนานในอดีต เหมือนกับการเลี้ยงนกเขาชวา และนกกรงหัวจุกในปัจจุบัน โดยสภาพทั่วไปทางสังคมสมัยนั้น ยังไม่มีไฟฟ้า การคมนาคมไม่สะดวก ชาวบ้านประกอบอาชีพบนฐานวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชน คือ อาชีพทำนา ปีนต้นตาลโตนด เลี้ยงปลาในกระชัง และประมงพื้นบ้าน ช่วงเวลาว่างแต่ละฤดูกาลการประกอบอาชีพ ต้องการความสนุกสนาน บันเทิง จึงมีแนวคิดและสรรค์หาสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนมาเลี้ยง คือ ตั๊กแตน เพราะช่วงเวลาค่ำคืน ตั๊กแตนจะส่งเสียงขันทั่วบริเวณในป่า ฟังแล้วไฟเราะ เสนาะหู ในยุคนั้น ชาวบ้านป่าหลวงยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด ทั่วบริเวณพื้นที่มีแต่ความมืด ดังนั้น ช่วงเวลากลางคืนจะมีตั๊กแตนเข้ามาอาศัยอยู่และส่งเสียงขันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับช่วงหัวค่ำ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะมีเวลาว่างไม่รู้จะทำอะไรที่จะสร้างความบันเทิงสนุกสนาน ดังนั้น เสียงขันของ ตั๊กแตน คือ สัตว์เลี้ยงที่จะสร้างความบันเทิงได้
ชาวบ้านได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วงเวลาค่ำคืน จึงเกิดแนวคิดร่วมกันเข้าป่าเพื่อจับตั๊กแตนมาเลี้ยง ด้วยเหตุผลคือฟังเสียงขัน จะแขวนไว้ตามกระต๊อบที่นิยมปลูกสร้างไว้พักผ่อนบริเวณข้างบ้าน เพื่อนอนฟังเสียงยามค่ำคืน จึงเกิดปรากฎการณ์ความนิยมเลี้ยงตั๊กแตนไว้ตามบ้านมีการรวมกลุ่มผู้เลี้ยงตั๊กแตนมาแข่งขันประชันเสียง ซึ่งสร้างความสุข สนุกสนาน และเพลิดเพลิน การเลี้ยงตั๊กแตนได้รับความนิยมอย่างมาก ถ่ายทอดลงมาสู่เด็ก และผู้ใหญ่ในชุมชน มีจัดการแข่งขันยามค่ำคืน ซึ่งเหมาะกับบรรยากาศ และลักษณะทางกายภาพของชุมชนในอดีต
อุปกรณ์และวิธีการเลี้ยงตั๊กแตน
การแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน ภาษามาลายู เรียกว่า งาโง๊ะลาแลจืองิ แยกตามศัพท์ คือ งาโง๊ แปลว่า ประชันเสียง ลาแลจืองิ แปลว่า ตั๊กแตน มี 2 สายพันธ์ แยกตามลักษณะลำตัวที่มีสีเขียว และสีน้ำตาล ภาษาไทย เรียกว่า แมลงขวัญข้าว โดยลักษณะทั่วไปของตั๊กแตนที่ชาวบ้านจับมาเลี้ยงเพื่อแข่งขันประชันเสียงจะเป็นตั๊กแตนตัวผู้ มีลักษณะลำตัว ปีกแตกต่างจากตั๊กแตนตัวเมีย
ตั๊กแตนจะอาศัยอยู่ตามบริเวณป่าในชุมชน นิยมเกาะตามต้นนมแมว จะส่งเสียงร้องช่วงเวลาค่ำคืน ตั๊กแตนจะมีต้นเสียงแตกต่างกัน บางตัวเสียงเล็ก บางตัวเสียงใหญ่ บางตัวเสียงทุ้ม บางตัวเสียงดังกังวาน บางตัวขัน 1 เสียง บางตัวขัน 2 เสียง บางตัวขัน 3 เสียงติดต่อกัน ผู้ที่ต้องการเลี้ยงตั๊กแตน ต้องพยายามฟังเสียงแล้วเดินไปหาตามเสียงที่ชอบ อุปกรณ์แสงสว่างการนำทาง คือ ใช้ยางจากต้นยางป่า ใส่ในกระป๋องนมแล้วจุดไฟถือไป เพราะสมัยนั้นยังไม่มีไฟฉาย ข้อควรระวังการจับตั๊กแตน คือ งูกระบะมักจะเลื่อยตามเสียงขันของตั๊กแตน เพื่อต้องการจะกินเป็นอาหาร ซึ่งผู้ที่เข้าไปจับตั๊กแตนบอกว่า จะเจองูอยู่บ่อยครั้งใต้ต้นไม้ที่มีตั๊กแตนเกาะอยู่
วิธีการจับตั๊กแตนไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากคือ จับช่วงเวลาค่ำคืน และต้องเดินตามเสียงขันของตั๊กแตนที่ตนเองชอบ และงูจะเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับการจับตั๊กแตน ดังนั้น คนในชุมชนจะรู้วิธีการจับ คือ เดินตามเสียงขันของตั๊กแตนที่ตนฟังแล้วชอบถ้าตั๊กแตนเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ใกล้พื้นดิน อย่ารีบเดินเข้าไป เพราะจะมีงูนอนอยู่เพื่อรอจังหวะจะกินตั๊กแตน ถ้าตั๊กแตนเกาะบนที่สูง แม้จะจับยากแต่จะมีความปลอดภัย โดยใช้มือจับตั๊กแตนใส่ไว้ในถุงเพื่อนำกลับมาบ้าน เลี้ยงไว้ในกรง ซึ่งกรงสำหรับการเลี้ยงตั๊กแตนมีหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับการประดิษฐ์กรงแต่ละคน ถ้าในอดีตการทำกรงสำหรับเลี้ยงตั๊กแตนมี2 แบบ คือ ทำจากขวดน้ำมันเครื่องไดเกียว ต้องหาตามอู่ซ่อมรถในเขตเมืองปัตตานี และกรงประดิษฐ์จากก้านใบต้นสาคู ส่วนยุคต่อมามีการประดิษฐ์กรงเลี้ยงตั๊กแตนหลากหลายแบบมากขึ้นอยู่กับความคิดและความสามารถของแต่ละคน
ภาพการเลี้ยงตั๊กแตน พอมีให้เห็นอยู่บ้างในยุคปัจจุบัน
วิธีการเลี้ยง คือ เลี้ยงไว้ในกรงที่ประดิษฐ์สำหรับตั๊กแตน อาหาร คือ ผักยอดอ่อน เช่น ผักบุ่ง ผักกาด แตงกว่า และเนื้อสัปปะรด เพราะอาหารเป็นส่วนสำคัญต่อเสียงขันของตั๊กแตนที่จะทำให้ชนะการแข่งขัน
กฎกติกาและวิธีการแข่งขัน
กฎกติกาและการแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตนจะคล้ายกับการแข่งขันนกกรงหัวจุก ซึ่งการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีผู้คิดริเริ่มขึ้นในการจัดกิจกรรม โดยประชาสัมพันธ์วิธีการแข่งขัน เช่น ค่าลงทะเบียนการเข้าร่วม รางวัลสำหรับผู้ชนะการแข่งขัน เช่น ผ้าห่ม ผ้าโสร่ง เสื้อ เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น เพราะสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้า จึงไม่มีรางวัลประเภท โทรทัศน์ ตู้เย็น และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
กฎกติกาสำหรับการแข่งขัน ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะคล้ายคลึงกันแตกต่างบ้างเพียงรายละเอียดบางอย่างโดยกฎกติกาทั่วไป คือ มีกรรมการตัดสินแพ้ชนะ3 ท่าน แต่ละท่านสลับเปลี่ยนกันเดินตามแถวราวที่แขวนตั๊กแตน ดังนั้น ตั๊กแตนที่แขวนไว้แต่ละแถว จะมีคะแนนจากคณะกรรมการทั้ง 3 ท่าน นำมารวมกันเพื่อหาตั๊กแตนตัวที่ชนะที่ 1 ชนะที่ 2 ชนะที่ 3 ตามกฎกติกา
บรรยากาศการแข่งขั้นแต่ละครั้ง ได้ประชาสัมพันธ์รับสมัครผู้เข้าร่วม บางครั้งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100 คน การเลือกสถานที่จัดการแข่งขันต้องคำนึงถึงบรรยากาศเวลายามค่ำคืน ต้องปราศจากเสียงรบกวนจากบริเวณใกล้เคียง คือ บริเวณโดยรอบต้องอยู่ในความมืด เงียบสงบ ปราศการเสียงรบกวน ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นทุกคนสนุกสนานได้มาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการเลี้ยงตั๊กแตน เพราะการแข่งขันแต่ละครั้ง จะมีผู้เดินทางจากชุมชนอื่นๆ จึงเป็นพื้นที่เปิดที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชน นอกจากนั้น บรรยากาศรอบนอกจะมีพ่อค้า แม่ค้า มาขายขนมและสิ่งของอื่นๆ ในสนามแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนในชุมชนได้อย่างเป็นดี
การตัดสินการแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน คณะกรรมการทั้ง 3 ท่านสลับกันตัดสินทุกแถวที่มีการแขวนตั๊กแตนเพื่อจดบันทึกเสียงขันตามกฎกติกา เรียกว่า การให้คะแนนครบ 3 ยก การให้คะแนนแต่ละครั้ง มีการจับเวลา คือ นำกะลามะพร้าวที่เจาะรูตั้งบนน้ำในถังภาชนะ ถ้ากะลาจมลงแสดงว่าหมดเวลาการให้คะแนนช่วงเวลานั้น คณะกรรมการต้องสลับแถวกันแล้วเริ่มต้นจับเวลาใหม่ ส่วนใหญ่เกณฑ์การให้คะแนน คือ ถ้าตั๊กแตนตัวใดขัน 1 เสียง ได้ 1 คะแนน ขัน 2 เสียง ได้ 2 คะแนน แล้วนำคะแนนคณะกรรมการทั้ง 3 ท่านมารวมกันเพื่อหาตั๊กแตนชนะรางวัลที่ 1 รางวัลที่ 3 และรางวัลที่ 3
ปัจจุบัน การแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน (งาโง๊ะลาแลจืองิ) ที่ได้สูญหายไป ได้รับการฟื้นฟูจนสร้างกระแสนิยมเป็นอย่างมากในแถบจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยมีบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต การทำกรงแข่งขันตั๊กแตนมีความหลากหลาย มีของรางวัลจำนวนมาก เช่น วัว แพะ รถ เป็นต้น ตลอดจนผู้เข้าร่วมมีจำนวนมากทั้ง เด็ก เยาวชน วัยกลางคน ผู้ใหญ่ ซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางพื้นที่มีผู้เข้าร่วมแข่งขันมากกว่า 1,000 คน ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอการแข่งขันประชันเสียงตั๊กแตน (งาโง๊ะลาแลจืองิ) ในสถานการณ์ปัจจุบันครั้งต่อไป
_______________________
ผู้เขียน ประสิทธิ์ รัตนมณี นักวิจัย สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา

