หลายคนอาจนึกถึงจังหวัดหนึ่งของอินโดนีเซียแห่งนี้ ผ่านภาพจำของกฎหมายชารีอะห์ที่เข้มแข็ง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง อาเจะห์คือพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา โดยเฉพาะวัฒนธรรมอาหารริมทาง หรือ “สตรีทฟู้ด” ที่เป็นมากกว่าแค่ของอร่อย
บทความนี้ คือบันทึกการเดินทางจากมุมมองของนักวิจัยด้านวัฒนธรรม ที่ได้มีโอกาสเยือนอาเจะห์ และใช้เวลายามค่ำคืนสุดท้ายในการสำรวจ “ตลาดโต้รุ่ง” เพื่อค้นหาว่า วิถีศรัทธา เศรษฐกิจชุมชน และชีวิตคนรุ่นใหม่ในเมืองมุสลิมร่วมสมัยแห่งนี้ ดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างไร
“ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2566 ฉันได้รับเชิญในการเข้าร่วมประชุมนานาชาติและนำเสนอการทำงานวิจัยด้านวัฒนธรรมจากสถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนาและอาสาสมัครจากภาคประชาสังคมที่ขับ เคลื่อนงานด้านเยาวชนสตรี และวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหัวข้อการประชุม INTERNATIONAL CONFERENCE OF AMAN ASSEMBLY 2023, RELIGIOUS INCLUSION AND PEACEBUILDING IN THE WORLD: THE PERSPECTIVES OF MUSLIMS ซึ่งเป็นการจัดประชุมฯ ร่วมโดยองค์กร AMAN (Asian Muslim Action Network For Peace) และมหาวิทยาลัย Ar-Raniry State Islamic (UIN) ณ บันดาร์อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย
โดยประเด็นที่ฉันได้รับผิดชอบการนำเสนอนั้นเป็นการนำเสนอในรูปแบบ Panel ร่วมกับเพื่อนๆ จากภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และนักศึกษาระดับปริญญาเอกจากประเทศญี่ปุ่น ประเด็น Panel คือ Localization of Women, Peace and Security in Thailand (Women and Youth Driving Change in Thailand’s Deep South) การนำเสนอของห้องย่อยเรานั้นได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ 500 กว่าคน ประเด็นการแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่จะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำงานขับเคลื่อนด้านงานวิจัย ภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การทำงานของกลุ่มผู้หญิง และการทำงานเพื่อเยาวชน รวมทั้งการทำงานด้านวัฒนธรรม โดยผู้ร่วมแลกเปลี่ยน ซักถามมีการเปรียบเทียบกับพื้นที่การทำงานในอาเจะห์และพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศอินโดนีเซีย ข้อท้าทายที่เกิดจากการทำงานและแนวทางหาทางออก รวมทั้งความร่วมมือในการทำงานร่วมกันในอนาคต
การจัดงานประชุม ฯ ครั้งนี้ครอบคลุมเวลา 3 วัน ในช่วงค่ำคืนสุดท้ายของการประชุมฉันได้มีโอกาสในการเดินตระเวนรอบตัวเมืองของอาเจะห์ ฉันและเพื่อนอีกคนที่เข้าร่วมการประชุมใช้วิธีการเดินเท้ารอบ ๆ เมืองเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้คนของท้องถิ่นและสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยช่วงเวลาที่มีไม่ยาวนานนักของค่ำคืนนั้น เราเริ่มต้นการเดินทางสำรวจด้วยการตระเวนหาของกินที่คนในท้องถิ่นนิยมกินกัน
(บรรยากาศตลาดกลางคืนเมืองอาเจะห์และร้านรวงรายทาง)
(ร้านอาหารริมทางในตัวเมืองอาเจะห์)
จากสายตาและความรู้สึกที่ฉันได้สัมผัส พบว่า ตลาดกลางคืนของเมืองอาเจะห์ให้ความรู้สึกคล้ายกับตลาดกลางคืนหรือตลาดโต้รุ่งของบ้านเรา ถนนบริเวณตลาดกลางคืนเป็นถนนที่ไม่กว้างมากนัก พื้นที่ ๆ เราเดินไปมีตั้งแต่ขนาดพื้นที่ 2-4 เลนส์ ในช่วงหัวค่ำของคืนนั้นผู้คนอาเจะห์มีการเดินทางออกมาจับจ่ายใช้สอยทานอาหารนอกบ้านกันไม่แตกต่างจากบ้านเรา เราเลือกเส้นทางที่สามารถเดินเท้าได้อย่างปลอดภัย และเลือกร้านอาหารขนาดกลางค่อนเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางตลาด ร้านที่เลือกทานเป็นร้านที่มีลักษณะจัดตั้งแถวเรียงรายอยู่จำนวน 4 ร้านติดกันติดถนนใหญ่และจำหน่ายอาหารที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ข้าวราดแกง สะเต๊ะ หอยลวก หอยกอและ รวมทั้งที่จำหน่ายรายการอาหารประเภทน้ำ เช่น น้ำผลไม้ปั่น ชาดำเย็น ฯลฯ
(อาหารท้องถิ่นคล้ายสะเต๊ะบ้านเรา)
(หอยลวก)
จุดเด่นและความแตกต่างอีกประการของอาเจะห์เท่าที่ฉันทราบและสัมผัสมาเมื่อเทียบกับอีกหลาย ๆ ประเทศที่ฉันได้มีโอกาสไปเยือน คือ ในช่วงเวลาของการละหมาด เมื่อมีเสียงอะซาน(เสียงเรียกร้องเชิญชวนเพื่อการละหมาดจากมัสยิด) ทุกร้านที่เปิดขายอาหารและสิ่งอื่น ๆ จะมีการปิดหน้าร้าน เพื่อหยุดทำการซื้อขาย เพื่อให้โอกาสเจ้าของร้านและลูกจ้างได้ไปทำการละหมาด หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาดจึงสามารถทำการซื้อขายได้ตามปกติ ทั้งนี้ในช่วงเวลาของการละหมาดที่มีลูกค้ากำลังนั่งอยู่ในร้าน สามารถรอคอยจนกระทั่งเจ้าของร้านหรือลูกจ้างของร้านค้าประกอบศาสนกิจจนเรียบร้อย จึงเริ่มเข้าสู่การซื้อขายอย่างปกติอีกครั้ง อาเจะห์จึงถือได้ว่าเป็นจังหวัดปกครองพิเศษ ที่มีการประกาศและนำกฎหมายชารีอะห์ รวมทั้งแนวทางหลักการศาสนาอิสลาม รวมทั้งวิถีด้านวัฒนธรรม ความเชื่อมาปฏิบัติใช้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
(มัสยิดกลางเมืองอาเจะห์)
(ร้านรถเข็นริมทาง)
(บริเวณย่านการค้า ร้านขายของที่ระลึกยามราตรีในเมืองอาเจะห์)
(ขนมในร้านรถเข็นริมทาง)
ในช่วงขากลับเราแวะซื้อขนมจากร้านมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาทานอย่างละนิดละหน่อย อาหารที่นี่มีรูปลักษณ์และรสชาติไม่แตกต่างจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรานัก มีรสชาติและกลิ่นเครื่องเทศผสมอยู่ด้วย อาหารหลายอย่างมีความคล้ายคลึงกัน จนฉันเองก็นึกเชื่อมโยงไปว่าน่าจะมีรากเหง้าหรือการหยิบยืมเคลื่อนย้ายด้านวัฒนธรรมอาหารการกินของผู้คนในภูมิภาคมลายู เช่น สะเต๊ะ หอยกอและ ขนมพื้นบ้านหลายอย่าง ก๋วยเตี๋ยวฯลฯ สนนราคาอาหารมื้อนี้ก็ไม่แพง ทาน 2 คน ในราคาร้อยกว่าบาทเงินไทย เมื่ออิ่มจากการทานมื้อค่ำ เราถือโอกาสเดินย่อยอาหารสำรวจตลาดกลางคืนในบริเวณใกล้เคียงที่ตอนนี้ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะร้านขายสะเต๊ะเนื้อที่ดูเหมือนจะเป็นที่นิยมของวัยรุ่นในเมืองนี้จนเข้าแถวต่อคิวกันจนเต็มบริเวณริมทางเท้า
(บรรยากาศยามราตรีในตัวเมืองอาเจะห์)
แสงยามราตรีเริ่มมืดดำ อึมครึมคลับคล้ายสายฝนใกล้จะมาเยือน ฉันและเพื่อนรีบเดินทางกลับที่พักสำหรับการพักผ่อนหลับนอนในค่ำคืนนี้ พรุ่งนี้อีกวัน หากมีเวลาในช่วงกลางวัน การได้มีโอกาสสำรวจรอบเมืองและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงในเมืองอาเจะห์ อาจจะเป็นโอกาสอันดีอีกวันในการทำความรู้จักกับผู้คน วิถี วัฒนธรรมของที่นี่ซึ่งไม่บ่อยนักที่เราจะได้มาเนี่ยมเยือนพี่น้องร่วมภูมิภาคและวัฒนธรรมแห่งนี้”
.
เรื่องโดย รอฮานี ดาโอ๊ะ นักวิจัย สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัมนา

